งานภาคเรียนที่ 2



http://www.thaigoodview.com/files/u20256/2007-08-21-2180.jpg



1.1ความหมายของกฎหมาย
กฎหมาย (อังกฤษ: law) หมายถึง กฎที่สถาบันหรือผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐตราขึ้น หรือที่เกิดขึ้นจากจารีตประเพณีอันเป็นที่ยอมรับนับถือ เพื่อใช้ในการบริหารประเทศ เพื่อใช้บังคับบุคคลให้ปฏิบัติตาม หรือเพื่อกำหนดระเบียบแห่งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างบุคคลกับรัฐ


1.2ความสำคัญของกฎหมาย



มนุษย์เป็นสัตว์สังคมอยู่ร่วมกันเป็นหมู่ เป็นเหล่า ความเจริญของสังคมมนุษย์นั้นยิ่งทำให้สังคมมีความ
สลับซับซ้อน ตามสัญชาตญาณของมนุษย์แล้ว ย่อมชอบที่จะกระทำสิ่งใด ๆ ตามใจชอบ ถ้าหากไม่มีการ
ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์แล้ว มนุษย์ก็จะกระทำในสิ่งที่เกินขอบเขต ยิ่งสังคมเจริญขึ้นเพียงใด วามจำเป็น
ที่จะต้องมีมาตรฐานในการกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ ที่จะต้องถือว่าเป็นมาตรฐานอันเดียวกันนั้นก็ยิ่งมี
มากขึ้น เพื่อใช้บังคับเป็นการทั่วไปแก่ทุกคนในลักษณะของกฎเกณฑ์และข้อบังคับต่าง ๆ ซึ่งจะกำหนด
วิถีทางการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนตาย
กฎเกณฑ์และข้อบังคับหรือวิธีการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์มีการพัฒนา และมีวิวัฒนาการต่อไป
อย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นเราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากฎหมายไม่มีความจำเป็น และเกี่ยวข้องกับชีวิตคนเรา
ในปัจจุบันนี้ กฎหมายได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเรามาก ตั้งแต่เราเกิดก็จะต้องแจ้งเกิดเพื่อขอสูติบัตร
เมื่ออายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ก็ต้องทำบัตรประจำตัวประชาชน จะสมรสกันก็ต้องจดทะเบียนสมรสจึงจะ
สมบูรณ์และในระหว่างเป็นสามี ภรรยากันกฎหมายก็ยังเข้ามาเกี่ยวข้องไปถึงวงศาคณาญาติอีกหรือจน
ตายก็ต้องมีใบตาย เรียกว่าใบมรณะบัตร และก็ยังมีการจัดการมรดกซึ่งกฎหมายก็ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง
เสมอนอกจากนี้ในชีวิตประจำวันของคนเรายังมีความเกี่ยวข้องกับ ผู้อื่น เช่นไปตลาดก็มีการซื้อขายและ
ต้องมี กฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องการซื้อขาย หรือการ ทำงานเป็นลูกจ้าง นายจ้างหรืออาจจะเป็น
ข้าราชการก็ต้องมีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา และที่เกี่ยวข้องกับชาติบ้านเมืองก็เช่นกัน
ประชาชนมีหน้าที่ต่อบ้านเมืองมากมาย เช่น การปฏิบัติตนตามกฎหมาย หน้าที่ในการเสียภาษีอากร
หน้าที่รับราชการทหาร สำหรับชาวไทย กฎหมายต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็มีมากมายหลายฉบัย เช่น
กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายแรงงาน กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา "คนไม่รู้
กฎหมายไม่เป็นข้อแก้ตัว" เป็นหลักที่ว่า บุคคลใดจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้หลุดพ้นจากความผิด
ตามกฎหมายมิได้ ทั้งนี้ ถ้าหากต่างคนต่างอ้างว่าตนไม่รู้กฎหมายที่ทำไปนั้น ตนไม่รู้จริง ๆ เมื่อกล่าวอ้าง
อย่างนี้คนทำผิดก็คงจะรอดตัว ไม่ต้องรับผิด ไม่ต้องรับโทษกัน ก็จะเป็นการปิดหูปิดตาไม่อยากรู้กฎหมาย
และถ้าใครรู้กฎหมายก็จะต้องมีความผิด รู้มากผิดมากรู้น้อยผิดน้อย ต่จะอ้างเช่นนี้ไม่ได้เพราะถือว่าเป็น
หลักเกณฑ์ของสังคมที่ประชาชนจะต้องมีความรู้ เรียนรู้กฎหมาย เพื่อขจัดข้อปัญหาการขัดแย้ง ความ
ไม่เข้าใจกัน ด้วยวิธีการที่เรียกว่า กฎเกณฑ์อันเดียวกันนั้นก็คือ กฎหมาย นั่นเอง


1.3ประเภทของกฎหมาย
กฎหมายที่บังคับใช้ในบ้านเรามีอยู่หลายประเภท โดยแต่ละประเภทมีฐานะการบังคับใช้ที่แตกต่างกัน ในการปกครองของไทยจะมีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการบังคับใช้ ที่ว่าเป็นกฎหมายสูงสุดก็เพราะว่าจะไม่สามารถออกกฎหมายใดที่จะออกมาขัดหรือ แย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ หากมีกฎหมายใดๆก็ตามที่ออกมาโดยมีข้อความที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแล้ว กฎหมายฉบับนั้นจะใช้บังคับไม่ได้เลย ในตัวของกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นจะเป็นการบัญญัติไว้ในเรื่องต่างที่มีลักษณะ กว้างๆ ไม่ว่าจะเป็น
เรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน รูปแบบของการปกครองเช่นกำหนดให้มีคณะรัฐบาลเป็นผู้บริหารประเทศ กำหนดให้มีสมาชิก 2 ประเภทคือสมาชิกวุฒิสภากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น แต่ในส่วนของรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องใดนั้น รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้ออกเป็นกฎหมายอื่นเฉพาะเรื่อง เช่น กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง เป็นต้น
ประเภทของกฎหมาย
1. กฎหมายรัฐธรรมนูญ
2. พระราชบัญญัติ
3. พระราชกำหนด
4. พระราชกฤษฎีกา
5. กฎกระทรวง
1. กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายหลักในการปกครองประเทศ ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ มีการพิจารณากัน 3 วาระ สำหรับการยกเลิกหรือจะแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ในตัวรัฐธรรมนูญเองจะกำหนดวิธีการยกเลิก หรือแก้ไขที่ยากกว่าการออกพระราชบัญญัติ ทั้งนี้เนื่องจากไม่ต้องการให้มีการแก้ไขบ่อยนัก การแก้ไขหรือการที่จะออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นจึงต้องเป็นเรื่องที่จำเป็น จริง
2. พระราชบัญญัติ เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ มีการพิจารณากัน 3 วาระเช่นเดียวกัน การยกเลิกหรือแก้ไขสามารถกระทำได้ง่ายกว่ารัฐธรรมนูญ
3. พระราชกำหนด มีฐานะเทียบเท่าพระราชบัญญัติ แต่การออกพระราชกำหนดจะมีวิธีที่แตกต่างจากพระราชบัญญัติคือ พระราชกำหนดจะออกโดยคณะรัฐมนตรี การที่จะออกพระราชกำหนดได้จะต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ เท่านั้น เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ก็สามารถประกาศใช้เป็นกฎหมายได้เลย ซึ่งจะต่างกับพระราชบัญญัติตรงที่พระราชบัญญัติกว่าจะออกมาบังคับใช้ได้ก็ ต้องใช้เวลานาน ต้องผ่านการพิจารณาถึง 3 วาระ แต่พระราชกำหนดเพียงแค่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก็สามารถใช้บังคับได้แล้ว เพียงแต่ว่าพระราชกำหนดนั้น เมื่อออกมาแล้วหากอยู่ในสมัยประชุมของสภา คณะรัฐมนตรีก็จะต้องนำพระราชกำหนดเข้าสู่สภาเพื่อขอความเห็นชอบทันที แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในสมัยประชุมของสภา คณะรัฐมนตรีก็จะต้องนำพระราชกำหนดเข้าสู่สภาเพื่อให้สภาเห็นชอบทันทีที่เปิด สมัยประชุม และเมื่อนำเข้าสู่สภาแล้ว หากสภาให้ความเห็นชอบ พระราชกำหนดนั้นก็ใช้บังคับได้ต่อไปเหมือนกับพระราชบัญญัติ แต่หากสภาไม่ให้ความเห็นชอบพระราชกำหนดนั้นก็จะตกไปไม่มีผลใช้บังคับอีกต่อ ไป แต่จะไม่กระทบกระเทือนสิ่งที่ได้ทำไปแล้วตามที่พระราชกำหนดนั้นบัญญัติไว้
4. พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีฐานะการบังคับใช้ที่ต่ำกว่าพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด การออกพระราชกฤษฎีกาจะต้องมีกฎหมายประเภทพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด หรือรัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ พระราชกฤษฎีกาไม่สามารถออกได้เองโดยลำพัง ผู้ที่ออกพระราชกฤษฎีกาคือคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก็สามารถใช้บังคับได้เลย ไม่ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาเพื่อขอความเห็นชอบอีก
5. กฎกระทรวง มีฐานะที่รองลงมาจากพระราชกฤษฎีกาอีกทีหนึ่ง ผู้ที่ออกกฎกระทรวงก็คือรัฐมนตรีผู้ที่ดูแลกระทรวงนั้น การออกจะต้องออกโดยมีพระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนดให้อำนาจไว้ เมื่อออกแล้วสามารถใช้บังคับได้ทันที
สำหรับ ประกาศคณะปฏิวัติ นั้น จะมีฐานะเช่นเดียวกับพระราชบัญญัติ แต่การออกจะออกโดยหัวหน้าคณะปฏิวัติซึ่งกุมอำนาจในขณะนั้น และจะมีผลใช้บังคับได้อยู่ตลอดไปจนกว่าจะมีการยกเลิก การยกเลิกนั้นจะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติยกเลิก

1.4 ศักดิ์ของกฎหมายศักดิ์ของกฎหมาย ( hierachy of law) คือ ลำดับความสูงต่ำของกฎหมาย
          การจัดศักดิ์ของกฎหมายมีความสำคัญต่อกระบวนวิธีการต่าง ๆ ทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ การตีความ และการยกเลิกกฎหมาย เช่น หากกฎหมายฉบับใดมีลำดับชั้นของกฎหมายสูงกว่า กฎหมายฉบับอื่นที่อยู่ในลำดับต่ำกว่าจะมีเนื้อหาขัดหรือแย้งกับกฎหมายสูง กว่านั้นมิได้ และอาจถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
เกณฑ์ในการกำหนดศักดิ์ของกฎหมาย
          เกณฑ์ในการกำหนดศักดิ์ของกฎหมายได้แก่ การพิจารณาจากผู้ตรากฎหมายฉบับนั้น ๆ ซึ่งย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ
          สำหรับประเทศไทยนั้น รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยผู้แทนของปวงชนคือรัฐสภา เป็นการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาร่วมกันใช้อำนาจสูงสุดแห่งรัฐในการออก กฎหมาย จึงให้มีศักดิ์สูงสุด ส่วนที่มีศักดิ์รองลงมาได้แก่ พระราชบัญญัติและพระราชกำหนด ซึ่งได้รับการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรก่อนแล้วจึงผ่านไปยังวุฒิสภา เป็นการแยกกันใช้อำนาจ
ลำดับศักดิ์ของกฎหมาย
          ว่ากันแต่ประเทศไทยในปัจจุบัน มีทั้งกฎหมายลายลักษณ์อักษร กฎหมายจารีตประเพณี และหลักกฎหมายทั่วไป แต่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่ากฎหมายส่วนใหญ่ของไทยอยู่ในรูปลายลักษณ์อักษร มากที่สุด
กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร
          รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดรูปแบบการปกครองและระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดจนรับรองและส่งเสริมสิทธิต่าง ๆ ของประชาชนทั้งประเทศ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยยังเป็นกฎหมายแม่บทของกฎหมายอื่นทุกฉบับ กฎหมายอื่นจึงจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมิได้ มิเช่นนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้เลย
          มักมีผู้เรียก "รัฐธรรมนูญ" ว่า "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" พึงทราบว่า "กฎหมายรัฐธรรมูญ" (: constitutional law) นั้นเป็นคำเรียกสาขาวิชาทางนิติศาสตร์และเรียกกฎหมายมหาชนแขนงหนึ่งซึ่งว่า ด้วยการวางระเบียบการปกครองรัฐในทางการเมือง ส่วน "รัฐธรรมนูญ" (: Constitution) นั้นคือกฎหมายจริง ๆ ฉบับหนึ่งซึ่งจัดระเบียบการปกครองรัฐในทางการเมือง
          กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ กฎหมายชนิดนี้อยู่ในรูปของพระราชบัญญัติในประเทศไทย และมีศักดิ์เดียวกันกับพระราชบัญญัติแต่มีวิธีการตราที่พิสดารกว่าพระราช บัญญัติเนื่องเพราะเป็นกฎหมายที่อธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ของรัฐธรรมนูญ
          พระราชบัญญัติ และประมวลกฎหมาย เป็นกฎหมายชั้นรองลงมาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นกฎหมายที่ถือได้ว่าคลอดออกมาจากท้องของรัฐธรรมนูญโดยตรง องค์กรที่มีหน้าที่ตรากฎหมายสองประเภทนี้ได้แก่รัฐสภา
          พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่รัฐธรรมนูญมอบอำนาจในการตราให้แก่ฝ่ายบริหารคือคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ใช้ในกรณีรีบด่วนหรือฉุกเฉิน พระราชกำหนดนั้นเมื่อมีการประการใช้แล้วคณะรัฐมนตรีต้องนำเสนอต่อรัฐสภา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ถ้ามิได้รับความเห็นชอบก็เป็นอันสุดสุดลง แต่ผลของการสิ้นสุดลงนี้ไม่กระทบกระเทือนบรรดาการที่ได้กระทำลงระหว่างใช้ พระราชกำหนดนั้น
          พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่กำหนดรายละเอียดซึ่งเป็นหลักการย่อย ๆ ของพระราชบัญญัติหรือของพระราชกำหนด เปรียบเสมือนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญซึ่งมีหน้าที่อธิบายขยายความใน รัฐธรรมนูญ
          กฎองค์การบัญญัติ เป็นกฎหมายที่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นตราขึ้นและใช้บังคับภายในเขตอำนาจ ของตน ได้แก่ ข้อบังคับตำบล เทศบัญญัติ ข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และข้อบัญญัติเมืองพัทยา เนื่องจากอำนาจในการตรากฎหมายประเภทนี้ได้รับมาจากพระราชบัญญัติ โดยทั่วไปจึงถือว่ากฎองค์การบัญญัติมีศักดิ์ต่ำกว่าพระราชบัญญัติชั่วแต่ว่า ใช้บังคับภายในเขตใดเขตหนึ่งเป็นการทั่วไปเท่านั้น
          กฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหารและไม่ต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากรัฐสภา มีลักษณะคล้ายพระราชกฤษฎีกาเพราะศักดิ์ของผู้ตราต่างกัน
          รองศาสตราจารย์ทัชชมัย ฤกษะสุต คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า "เมื่อ พระราชกฤษฎีกากับกฎกระทรวงมีความใกล้เคียงกันมาก ข้อที่พิจารณาให้เห็นถึงความแตกต่างกันว่าควรจะออกกฎหมายในรูปพระราชกฤษฎีกา หรือกฎกระทรวงนั้น ขึ้นอยู่กับว่า เนื้อหาของกฎหมายที่ต้องการบัญญัตินั้นมีความสำคัญเพียงใด ซึ่งหากมีความสำคัญเป็นอย่างมากจะออกมาในรูปของพระราชกฤษฎีกา แต่ถ้ามีความสำคัญน้อยกว่าก็ออกในรูปของกฎกระทรวง
ผลการจัดศักดิ์ของกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร
          1. การออกกฎหมายที่มีศักดิ์ของกฎหมายต่ำกว่าจะออกได้โดยอาศัยอำนาจจากกฎหมายที่ มีศักดิ์สูงกว่าหรือตามที่กฎหมายศักดิ์สูงกว่าให้อำนาจไว้
          2. กฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่าซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจของกฎหมายศักดิ์สูงกว่า จะออกมาโดยมีเนื้อหาเกินกว่าขอบเขตอำนาจที่กฎหมายศักดิ์สูงกว่าให้ไว้มิได้ มิฉะนั้นจะใช้บังคับมิได้เลย
          3. หากเนื้อหาของกฎหมายมีความขัดแย้งกัน ต้องใช้กฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าบังคับ ไม่ว่ากฎหมายศักดิ์สูงกว่านั้นจะออกก่อนหรือหลังกฎหมายศักดิ์ต่ำกว่านั้น

 1.5องค์ประกอบของกฎหมาย๑. กฎหมายเป็นบทบัญญัติ.
๒. ผู้มีอำนาจตรากฎหมาย จะต้องเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศ.
๓. บทบัญญัติที่กำหนดไว้ มี ๒ ประเภท คือ
(๑) บทบัญญัติ ที่ใช้ในการบริหารบ้านเมือง.
(๒) บทบัญญัติที่ใช้บังคับบุคคล ในความสัมพันธ์ระหว่างกัน (ไม่เกี่ยวกับการบริหารบ้านเมือง).
๔. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ ผู้ใดฝ่าฝืน ต้องได้รับโทษ หรือ ต้องถูกบังคับให้ปฏิบัติตาม.
ซึ่งจะได้อธิบายตามลำดับไป
๑. กฎหมายเป็น บทบัญญัติ.

บทบัญญัติ เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในกฎหมาย การที่เราจะทราบว่า บทบัญญัติ คืออะไร เราคงต้องดูจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้นิยามความหมาย ของถ้อยคำที่เกี่ยวข้องไว้ว่า
“บท”
๐ เป็นคำนาม หมายความว่า ข้อความเรื่องหนึ่งๆ หรือ ตอนหนึ่ง
“บัญญัติ”
เป็นคำนาม หมายความว่า ข้อความที่ตรา หรือ กำหนดขึ้นไว้เป็น ข้อบังคับ เป็นหลักเกณฑ์ หรือเป็นกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติ พุทธบัญญัติ บัญญัติ ๑๐ ประการ.
๐ เป็นคำกริยา หมายความว่า ตรา หรือ กำหนดขึ้นไว้เป็น ข้อบังคับ เป็นหลักเกณฑ์ หรือ เป็นกฎหมาย เช่น บัญญัติศัพท์ บัญญัติกฎหมาย.
“ข้อบังคับ” หรือ “กฎข้อบังคับ” หมายความว่า บทบัญญัติที่เป็นชั้นข้อบังคับ ซึ่งกำหนดขึ้นไว้เป็นระเบียบในการปฏิบัติ หรือดำเนินการตามกฎหมาย.

“บังคับ”
เป็นคำกริยา หมายความว่า ใช้อำนาจสั่งให้ทำ หรือ ให้ปฏิบัติ, ให้จำต้องทำ.

“บทบัญญัติ” หมายความว่า ข้อความที่กำหนดไว้เป็น ลายลักษณ์อักษร ในกฎหมาย.

“ลายลักษณ์” หมายความว่า ตัวหนังสือ หรือเครื่องหมายเป็นรูปต่างๆ.

“อักษร” หมายความว่า ตัวหนังสือ, เครื่องหมายใช้ขีดเขียนแทนเสียง หรือ คำพูด.
จากคำนิยามความหมายของถ้อยคำ ที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ทำให้เราทราบว่า บทบัญญัติ คือข้อความ ซึ่งกำหนดขึ้นไว้เป็นระเบียบในการปฏิบัติ หรือดำเนินการ ซึ่งจะต้องมีการบังคับ หรือใช้อำนาจสั่งให้ทำ หรือ ให้ปฏิบัติ และจะต้องบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร การที่ กฎหมาย ต้องบันทึกไว้เป็น ตัวอักษร ก็เพื่อให้เป็นหลักฐานที่จะยกขึ้นมาอ้างอิงได้ในภายหลัง หากไม่มีลายลักษณ์อักษรก็จะต้องใช้วิธีจำเอาไว้ ซึ่งอาจหลงลืม หรือจำผิดเพี้ยนกันไป อันเป็นเหตุให้เกิดการโต้เถียงกัน และไม่มีทางหาข้อยุติได้.
๒. ผู้มีอำนาจตรากฎหมายจะต้องเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศ.
การที่เราจะทราบว่าใครบ้างเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ที่มีอำนาจบัญญัติกฎหมาย เราต้องทราบเสียก่อนว่า อำนาจคืออะไร?
คำว่า “อำนาจ” มีหลายความหมาย คือ
๐ สิทธิ เช่น มอบอำนาจ.
๐ อิทธิพลที่จะบังคับให้ผู้อื่นต้องยอมทำตาม ไม่ว่าจะด้วยความสมัครใจหรือไม่.
๐ ความสามารถบันดาลให้เป็นไปตามความประสงค์ เช่น อำนาจบังคับของกฎหมาย อำนาจบังคับบัญชา.
๐ ความสามารถ หรือสิ่งที่สามารถทำหรือบันดาลให้เกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เช่น อำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์.
๐ กำลัง, ความรุนแรง, เช่นชอบใช้อำนาจ.
๐ ความบังคับบัญชา เช่น อยู่ใต้อำนาจ.
๐ การบังคับ เช่น ขออำนาจศาล.
“สิทธิ สิทธิ์”
เป็นคำในกฎหมาย หมายความว่า อำนาจที่จะทำการใดๆได้อย่างอิสระ โดยได้รับการรับรองจากกฎหมาย เช่น สิทธิบัตร.
ที่มาของอำนาจ
อำนาจ ที่จะบังคับแก่บุคคลทั่วๆไปได้ จะต้องมาจากจากบทบัญญัติของกฎหมาย บัญญัติรับรองไว้.
อำนาจตามกฎหมาย มี ๒ ประเภท คือ อำนาจของบุคคล (บุคคลธรรมดา และ นิติบุคคล) และ อำนาจสูงสุดของประเทศ (อำนาจของทางราชการ)
ที่มาของอำนาจของบุคคล ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น อำนาจปกครองของบิดามารดา ที่มีต่อบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ (มาตรา ๑๕๖๖) อำนาจของผู้อนุบาล อำนาจของผู้พิทักษ์ .
อำนาจของบุคคล กฎหมายมักจะใช้คำว่า สิทธิ เพราะเป็นอำนาจที่ใช้บังคับกันภายในสถาบันของตน จะนำไปใช้กับบุคคลภายนอกไม่ได้.
ที่มาของอำนาจสูงสุดของประเทศ ได้แก่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓ บัญญัติว่า
มาตรา ๓ อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทาง รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และ ศาล ตามบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญนี้.
อำนาจอธิปไตย คือ อำนาจสูงสุดของรัฐเอกราช ที่ใช้ในการปกครองประเทศ แบ่งออกเป็น ๓ อำนาจ คือ
(๑) อำนาจนิติบัญญัติ. (๒) อำนาจบริหาร. (๓) อำนาจตุลาการ.
อำนาจนิติบัญญัติ คือ อำนาจในการบัญญัติกฎหมาย หรือ ตรากฎหมาย ที่เรากำลังพูดถึง.
สำหรับประเทศไทย ซึ่งในอดีตมีการปกครองด้วย ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเป็น ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ หลังจากนั้นก็มีการปฏิวัติรัฐประหารอีกหลายครั้ง ระหว่างปฏิวัติ คณะปฏิวัติได้ออก ประกาศของคณะปฏิวัติใช้เป็นกฎหมายหลายฉบับ กฎหมายที่บัญญัติไว้เดิม ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง และบัญญัติโดย คณะปฏิวัติ หลายฉบับ ยังมีผลใช้บังคับอยู่จนถึงปัจจุบันนี้.
ผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศ ที่มีอำนาจบัญญัติกฎหมาย จึงได้แก่ สถาบันต่างๆ ๖ สถาบัน คือ
(๑) พระมหากษัตริย์. (๒) คณะปฏิวัติ หรือรัฐประหาร. (๓) สภาผู้แทนราษฎร. (๔) รัฐสภา. (๕) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ. (๖) คณะรัฐมนตรี.
(๑) พระมหากษัตริย์ หรือ พระเจ้าแผ่นดิน หมายความถึงผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน.
เนื่องจากประเทศไทย ในอดีตมีการปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อันเป็นระบอบการปกครองซึ่งพระมหากษัตริย์มีอำนาจสิทธิขาดในการบริหารประเทศ อำนาจอธิปไตยเป็นของพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว พระราชโองการ หรือพระบรมราชโองการ เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ มาจาก พระดำรัสสั่งของพระมหากษัตริย์ ถือเป็นกฎหมาย และมีผลใช้บังคับอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ดังจะเห็นได้ว่า คำว่า “พระราชบัญญัติ” ซึ่งหมายความถึงกฎหมาย มีใช้มาตั้งแต่สมัยที่ประเทศไทยมีการปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ภายหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย แต่ปวงชนชาวไทยได้ถวายอำนาจอธิปไตยให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ทรงใช้ ตามวิธีการที่บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ทรงใช้ อำนาจนิติบัญญัติ ทางสภาผู้แทนราษฎร (รัฐธรรมนูญฉบับแรก คือฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๕ มีสภาเดียว คือ สภาผู้แทนราษฎร) ทรงใช้อำนาจบริหาร ทางคณะรัฐมนตรี และทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล.
(๒) คณะรัฐประหาร คณะรัฐประหารคือ คณะบุคคลที่ใช้กำลังยึดอำนาจ และเปลี่ยนแปลงรัฐบาล.
ประเทศไทยมีการ รัฐประหารครั้งแรก เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ต่อมาภายหลังได้มีการรัฐประหารอีกหลายครั้ง เพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เรียกชื่อคณะรัฐประหารแตกต่างกันไป เช่น คณะปฏิวัติ , คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน, คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ, เป็นต้น.
คณะบุคคลเหล่านี้ เมื่อยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินได้แล้ว ก็ประกาศยกเลิก รัฐธรรมนูญ ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น แล้วออกประกาศ เรียกว่า ประกาศของคณะปฏิวัติ, คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน, ออกมาใช้บังคับเป็นกฎหมาย และมีการยอมรับกันจนเป็นประเพณีนิยม ทั้ง ศาล และ รัฐบาล ก็ยังถือปฏิบัติ และ บังคับบัญชาให้อยู่จนปัจจุบันนี้ ยังไม่ได้มีการยกเลิกแต่ประการใด. เช่น ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔ เรื่องแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๑ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๑๙ เรื่องแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๓ เป็นต้น.
(๓) สภาผู้แทนราษฎร คือสถาบัน หรือองค์การของรัฐ ที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติ ทำหน้าที่บัญญัติกฎหมาย ตามบทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ซึ่งประกาศใช้บังคับ เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ (ขณะนั้นมีสภาผู้แทนราษฎรสภาเดียว ยังไม่มี วุฒิสภา จึงไม่มีรัฐสภา). กฎหมายที่บัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎรก็ยังใช้บังคับอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ เช่น พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๔๙๙
(๔) รัฐสภา คือสถาบัน หรือองค์การของรัฐ ที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ อำนาจนิติบัญญัติ ทำหน้าที่นิติบัญญัติ หรือบัญญัติกฎหมายประกอบด้วย ๒ สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และ วุฒิสภา ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ.
(๕) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้มี สภานิติบัญญัติสภาเดียว ทำหน้าที่บัญญัติกฎหมายแทนรัฐสภา (ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๕๓๔ กำหนดให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา จัดทำร่างรัฐธรรมนูญ)

(๖) คณะรัฐมนตรี คือคณะบุคคลที่รัฐธรรมนูญ บัญญัติให้มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน และบัญญัติให้มีอำนาจ ตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติ ในกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยของประเทศ หรือความปลอดภัยสาธารณะ หรือในกรณีมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากร หรือ เงินตรา ซึ่งจะต้องรับการพิจารณาโดยด่วน และลับ เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ถือได้ว่าเป็นกฎหมายของฝ่ายบริหาร เรียกว่า “พระราชกำหนด”.


๓. บทบัญญัติที่เป็นกฎหมาย มี ๒ ประเภท คือ
(๑) บทบัญญัติที่ใช้ในการบริหารบ้านเมือง.
(๒) บทบัญญัติที่ใช้บังคับบุคคลในความสัมพันธ์ระหว่างกัน (ไม่เกี่ยวกับการบริหารบ้านเมือง)

(๑) บทบัญญัติที่ใช้ในการบริหารบ้านเมือง
ก่อนที่จะรู้ว่าบทบัญญัติที่ใช้ในการบริหารบ้านเมืองคืออะไร เราจะต้องทราบเสียก่อนว่า การบริหารบ้านเมืองคืออะไร ?
การทำความเข้าใจในเรื่องนี้จำเป็นจะต้อง ทราบนิยามความหมายที่เป็นภาษาราชการ จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ของถ้อยคำต่างๆดังต่อไปนี้เสียก่อน คือ
“บริหาร” หมายความว่า จัดการ ดำเนินการ ปกครอง.
“ปกครอง” หมายความว่า ดูแล คุ้มครอง.
“คุ้มครอง” หมายความว่า ป้องกันรักษา ระวังรักษา ปกป้องรักษา.
“ดูแล” หมายความว่า เอาใจใส่ ปกปักรักษา ปกครอง.
“จัดการ” หมายความว่า สั่งงาน ควบคุมงาน ดำเนินงาน.
“สั่ง” หมายความว่า บอกไว้เพื่อให้ทำ หรือปฏิบัติ.
“แผ่นดิน” หมายความว่า รัฐ.
“รัฐ” หมายความว่า แว่นแคว้น บ้านเมือง ประเทศ.
“รัฐบาล” หมายความว่า องค์กรที่ใช้อำนาจบริหารในการปกครองประเทศ.
“คณะรัฐมนตรี” หมายความถึง คณะบุคคลซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง และรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน ๓๕ คน เพื่อทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐).
“บ้านเมือง” หมายความว่า ประเทศชาติ รัฐ.
“ประเทศ” หมายความว่า ชุมนุมแห่งมนุษย์ ซึ่งตั้งมั่นอยู่ในดินแดนอันมี อาณาเขตแน่นอน มีอำนาจอธิปไตยที่จะใช้ได้อย่างอิสระ และ มีการปกครองอย่างเป็นระเบียบ เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ที่อยู่รวมกันนั้น.
“ราชการ” หมายความว่า การงานของรัฐบาล หรืองานของพระเจ้าแผ่นดิน.
“ข้าราชการ” หมายความว่า บุคคลซึ่งรับราชการ โดยได้รับเงินเดือนจาก งบประมาณรายจ่าย หมวดเงินเดือน เช่น ข้าราชการพลเรือน, ข้าราชการการเมือง, ข้าราชการทหาร, ข้าราชการครู, ข้าราชการฝ่ายตุลาการ. เป็นต้น.
“เจ้าพนักงาน” หมายความว่า บุคคลผู้ได้รับแต่งตั้ง ให้ ปฏิบัติราชการ ไม่ว่าเป็นประจำ หรือชั่วคราว และหมายความรวมถึงบุคคลผู้ทำหน้าที่ช่วยราชการ ซึ่งกฎหมายให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานเฉพาะกรณีด้วย.
“รับ” หมายความว่า ตกลงตาม เช่นรับทำ.
“ปฏิบัติ” หมายความว่า ดำเนินการไปตามระเบียบแบบแผน เช่น ปฏิบัติราชการ.
“การเมือง” เป็นคำนาม มีความหมายหลายความหมาย ได้แก่.
งานที่เกี่ยวกับรัฐ หรือแผ่นดิน เช่น วิชาการเมือง ได้แก่วิชาว่าด้วยรัฐ การจัดส่วนแห่งรัฐ และ การดำเนินการแห่งรัฐ.
๐ การบริหารประเทศเฉพาะที่เกี่ยวกับ นโยบายในการบริหารประเทศ เช่นการเมืองระหว่างประเทศ ได้แก่การดำเนิน นโยบายระหว่างประเทศ.
๐ กิจการอำนวย หรือ ควบคุม การบริหารราชการแผ่นดิน เช่นตำแหน่งทางการเมือง ได้แก่ ตำแหน่งซึ่งมีหน้าที่อำนวยการบริหารแผ่นดิน ได้แก่ คณะรัฐมนตรี หรือ ตำแหน่งซึ่งมีหน้าที่ ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร
๐ ภาษาปาก (ภาษาพูด) เป็นคำกริยาวิเศษณ์ หมายความว่า มีเงื่อนงำ , มีการกระทำอันมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่, เช่นป่วยการเมือง.
(ในสังคมไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะพวกที่เรียกตนเองว่า “นักการเมือง” และ บรรดา สื่อมวลชน จะพูดถึงคำว่าการเมือง ในความหมายของภาษาพูด จึงทำให้คำว่าการเมืองมีความหมายไปในทางที่ไม่ดี ทำให้คนไทยเข้าใจความหมายผิดๆ)
การบริหารบ้านเมือง จึงหมายความถึง การจัดการ สั่งการ ควบคุมดูแล กิจการงาน ทั้งหลายของบ้านเมือง หรือ ประเทศ หรือ แผ่นดิน หรือ รัฐ ซึ่งตามกฎหมายใช้คำว่า “ การบริหารราชการแผ่นดิน”
ราชการแผ่นดิน มีมากมายหลายประเภท หลายลักษณะ ไม่สามารถทำโดยบุคคลคนเดียว หรือ คณะเดียวได้ เพราะต้องการความรู้ความสามารถ หรือความชำนาญเฉพาะแต่ละงาน เช่น

งานเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงของราชอาณาจักร, งานเกี่ยวกับการเงิน การคลัง, งานด้านที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับต่างประเทศ, การเกษตร, การประมง, การปศุ-สัตว์, การคมนาคม, การขนส่ง, การพาณิชย์, การบำบัดทุกข์บำรุงสุข, การรักษาความสงบเรียบร้อย และ การรักษาความมั่นคงภายในประเทศ, การศาล, การศาสนา, การศึกษา, การแพทย์, การสาธารณสุข, การอุตสาหกรรม เป็นต้น.
งานต่างๆเหล่านี้ เป็นงานของบุคคลผู้มี ตำแหน่งทางราชการ ซึ่ง มีหน้าที่ และ มีอำนาจ ตามกฎหมาย ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อ รักษาประโยชน์ส่วนรวม อำนวยความสะดวก และ ให้บริการแก่ปวงชนชาวไทย (รธน.มาตรา ๗๐)
การบริหารราชการแผ่นดิน เป็นหน้าที่ของใคร?
การบริหารราชการแผ่นดิน เป็นหน้าที่ ของ คณะบุคคล คณะหนึ่ง เรียกว่า “ คณะรัฐมนตรี” แต่ รัฐมนตรี จะบริหารราชการตามอำเภอใจไม่ได้ จะต้อง บริหารราชการแผ่นดิน ตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และ ตามนโยบาย ที่ได้แถลงไว้ต่อ รัฐสภา และต้อง รับผิดชอบ ต่อสภาผู้แทนราษฎร ในหน้าที่ของตน รวมทั้ง ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ต่อรัฐสภา ในนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๐๑, ๒๑๑, และ ๒๑๒)

ในการปฏิบัติหน้าที่ บริหารราชการแผ่นดิน ผู้มีหน้าที่ จะต้องมี อำนาจ สำหรับ ใช้บังคับบุคคลผู้อยู่ใต้อำนาจบริหารให้จำต้องปฏิบัติตาม และ อำนาจนั้นต้องเป็นอำนาจที่มีกฎหมายรับรอง ดังนั้นจึงต้องมีกฎหมายบัญญัติให้ อำนาจ กำหนดหน้าที่ และ ความรับผิดชอบ ของเจ้าพนักงานผู้ที่มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน และ กฎหมายจะต้อง กำหนดระเบียบความเกี่ยวพันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน และ ความเกี่ยวพันระหว่างบุคคลธรรมดา กับ เจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ด้วย
ลักษณะของความสัมพันธ์ หรือ เกี่ยวพันของบุคคล ในเรื่องการบริหารประเทศ หรือ บริหารบ้านเมือง เป็น ความสัมพันธ์ ระหว่าง บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางราชการ ให้มีหน้าที่ ปฏิบัติราชการ ซึ่งเรียกว่า เจ้าพนักงาน กับ สามัญชน หรือบุคคลธรรมดา หรือ ความสัมพันธ์ ระหว่าง ผู้มีอำนาจปกครอง กับ ผู้ถูกปกครอง

กฎหมายที่ใช้บริหารราชการแผ่นดิน หรือ ปกครองประเทศ ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นกฎหมายแม่บท ในการจัดระเบียบการปกครองประเทศ และ จะต้องมี พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง, พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตั้ง, พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา, และ พระราชบัญญัติต่างๆ ที่บัญญัติขึ้นเพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินโดยเฉพาะ เช่น พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน , พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม , พระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การต่างๆของรัฐ, เช่น สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายต่างๆ, พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง , พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่, พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ เป็นต้น.
คำว่า “บริหาร” มีความหมายอีกความหมายหนึ่งว่า “ปกครอง” กฎหมาย ที่บัญญัติเพื่อ ใช้ในการบริหารบ้านเมือง หรือ บริหารราชการแผ่นดิน ไม่ใช่กฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องของเอกชน หรือเรื่องส่วนบุคคล ในทางวิชาการ เรียกกันว่า “กฎหมายปกครอง”
สรุป
กฎหมายสำหรับริหารราชการแผ่นดิน (กฎหมายปกครอง) เป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นเป็นกรอบบังคับให้ บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางราชการ ซึ่งเรียกว่า ข้าราชการ มีหน้าที่ ต้องปฏิบัติราชการ ตามอำนาจที่กฎหมายกำหนด เพื่อ รักษาประโยชน์ส่วนรวม อำนวยความสะดวก และ ให้บริการแก่ปวงชนชาวไทย (รัฐธรรมนูญๆ มาตรา ๗๐) (ไม่ใช่ให้มาทำตัวเป็นนายปวงชนชาวไทย)
กฎหมายปกครอง จึงมี องค์ประกอบที่เป็นสาระสำคัญ ๕ ประการ คือ
(๑) สถาบัน (๒) ตำแหน่ง (๓) หน้าที่ (๔) อำนาจ (๕) ความรับผิดชอบ
“สถาบัน” ได้แก่ ส่วนราชการ (สถานที่ทำงาน) ที่กฎหมายตั้งขึ้น เพื่อให้มีหน้าที่ และ อำนาจในการปฏิบัติราชการ หรือ ทำงานของรัฐบาล มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ตามหน้าที่การงาน
กฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อ จัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และจัดตั้งส่วนราชการได้แก่ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และ พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๓๔.
กฎหมาย จัดแบ่งส่วนราชการของรัฐ หรือ ประเทศ หรือ บ้านเมือง ออกเป็น ๓ ส่วน คือ
๑. ราชการส่วนกลาง (ราชการในเมืองที่เป็นที่ตั้งของรัฐบาล หรือ ที่เรียกว่า “เมืองหลวง” )
๒. ราชการส่วนภูมิภาค (ราชการในเมืองอื่นนอกจากเมืองหลวง หรือที่เรียกว่า “หัวเมือง” )
๓. ราชการส่วนท้องถิ่น (ราชการในท้องที่ใดท้องที่หนึ่งโดยเฉพาะ)
ส่วนราชการ หรือ องค์กรสำหรับเป็นที่ปฏิบัติราชการ มีชื่อเรียก ต่างๆกัน ได้แก่
๑. ส่วนราช ส่วนกลาง ได้แก่
(๑).สำนักนายกรัฐมนตรี.
(๒) กระทรวง หรือ ทบวง ซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากระทรวง.
(๓) ทบวง ซึ่งสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือ กระทรวง.
(๔) กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น และมีฐานะเป็นกรม ซึ่งสังกัด หรือไม่สังกัด สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือ ทบวง
๒. ส่วนราชการ ส่วนภูมิภาค ได้แก่
(๑) จังหวัด
(๒) อำเภอ
๓. ส่วนราชการ ส่วนท้องถิ่น ได้แก่
(๑) องค์การบริหารส่วนจังหวัด
(๒) เทศบาล
(๓) สุขาภิบาล
(๔) ราชการส่วนท้องถิ่นอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนด
ส่วนราชการที่กฎหมายจัดตั้งขึ้น ในแต่ละส่วนราชการ มีชื่อเรียกต่างๆกันไปตามลักษณะของงานราชการ เช่น
กระทรวงกลาโหม กฎหมายกำหนดให้เป็นสถาบัน ที่ มี อำนาจหน้าที่ เกี่ยวกับ การป้องกัน และรักษาความมั่นคงของราชอาณาจักร จากภัยคุกคามทั้งภายนอก และ ภายในประเทศ
กระทรวงยุติธรรม กฎหมายกำหนดให้เป็น สถาบัน ที่มี อำนาจหน้าที่ เกี่ยวกับการศาลยุติธรรม แต่ไม่รวมถึงการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี. (มาตรา ๒๔)
ในส่วนราชการที่ชื่อ กระทรวงยุติธรรม กฎหมายยังกำหนดให้มีส่วนราชการย่อยลงไป เพื่อแบ่งหน้าที่การงานภายในอีก คือ (๑) สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี (๒) สำนักงานปลัดกระทรวง (๓) กรมคุมประพฤติ (๔) กรมบังคับคดี (๕) สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ. (มาตรา ๒๒)
“ตำแหน่ง” หมายความถึง ฐานะทางราชการ ของข้าราชการที่ปฏิบัติราชการในส่วนราชการต่างๆ มีหน้าที่ และ อำนาจ ตามที่กฎหมายกำหนด มีชื่อเรียกต่างๆกันไป เช่น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง” เป็นตำแหน่งบริหารสูงสุดในกระทรวง มีฐานะเป็น ผู้บังคับบัญชาข้าราชการทั้งหมดในกระทรวง มีอำนาจกำหนดนโยบายของกระทรวงให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หรืออนุมัติ และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของกระทรวง.
“หน้าที่” หมายความถึง การงานที่ควรทำ, การงานที่ต้องทำ, วงแห่งกิจการ.
กฎหมายจะกำหนด หน้าที่ ไว้ให้ผู้ที่มี ตำแหน่ง ต่างๆในราชการต้องปฎิบัติ. เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ เกี่ยวกับการศาลยุติธรรม แต่ไม่รวมถึงการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษา การศาสนา และการวัฒนธรรม.
“อำนาจ” หมายความถึง
๐ อิทธิพลที่จะบังคับให้ผู้อื่นต้องยอมทำตาม ไม่ว่าจะด้วยความสมัครใจหรือไม่.
๐ ความสามารถบันดาลให้เป็นไปตามความประสงค์.
หน้าที่ และ อำนาจ เป็นของคู่กัน และจะต้องเป็น หน้าที่ และ อำนาจตามกฎหมายเท่านั้น กฎหมายมักจะใช้เป็นคำรวมกันไป คือ “อำนาจหน้าที่”
กฎหมายจะกำหนด หน้าที่ และ อำนาจออกเป็น ๒ ประการ คือ อำนาจหน้าที่ของสถาบัน ที่เป็น ส่วนราชการ ซึ่งจะกำหนดไว้เป็นกรอบกว้างๆ กับ หน้าที่ และ อำนาจของบุคคล ที่เป็น ข้าราชการ หรือ เจ้าพนักงาน ที่ดำรงตำแหน่งต่างๆในส่วนราชการต่างๆ.
การปฏิบัติหน้าที่บางอย่างไม่ต้องใช้อำนาจ เช่น หน้าที่ทำความสะอาดสถานที่ราชการ หน้าที่ส่งเอกสาร หน้าที่ของพนักงานการพิมพ์หนังสือ เป็นต้น.
“ความรับผิดชอบ” หมายความถึง การยอมตามผลที่ดี หรือ ไม่ดีในกิจการ ที่ได้ทำไป.
แต่ เมื่อนำไปใช้ในกฎหมายที่กำหนดหน้าที่ของเจ้าพนักงานไว้ จะหมายความถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ซึ่งหมายความถึงภาระหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติงานในหน้าที่ให้สำเร็จ ลุล่วงไปด้วยดี เกิดประโยชน์ แก่ทางราชการ และปวงชนชาวไทย สมความมุ่งหมาย หรือ เป้าประสงค์ ของทางราชการ หากทำไม่สำเร็จ หรือ ทำแล้วเกิดความบกพร่องเสียหาย ก็ไม่ได้รับ ความดีความชอบ ซึ่ง อาจถูกโยกย้าย ให้พ้นจากหน้าที่ได้ หากเกิดความเสียหายเกินกว่าที่ควรจะเป็นตามความนิยม หรือ ความต้องการของสังคม หรือ ของบุคคลที่รู้ผิด รู้ชอบ ตามปกติ ที่ในทางกฎหมายใช้คำว่า "วิญญูชน" อาจต้องมีความผิดทางวินัย หรืออาจต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในฐานละเมิดได้ หากกระทำการใดๆอันเข้าลักษณะที่กฎหมายถือว่าเป็นการทำละเมิด ยิ่งกว่านั้น หากการกระทำเข้าลักษณะที่กฎหมายอาญา บัญญัติว่าเป็นความผิด และกำหนดโทษไว้ ก็ต้องรับโทษทางอาญาอีกด้วย.
(๒) บทบัญญัติที่ใช้บังคับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (ไม่เกี่ยวกับ การบริหารกิจการบ้านเมือง)
ข้อบังคับของกฎหมายประเภทนี้ ไม่ใช่ข้อบังคับ ที่บัญญัติ เพื่อประโยชน์ในการบริหารบ้านเมือง ซึ่งเป็นเรื่องของทางราชการเหมือนกฎหมายปกครอง หากแต่บัญญัติ เพื่อ กำหนดระเบียบความสัมพันธ์ หรือความเกี่ยวพัน ระหว่าง บุคคล.
คำว่า “บุคคล” หมายความถึงบุคคลตามความหมายของกฎหมาย ซึ่งกฎหมายที่บัญญัติถึงเรื่องของบุคคลไว้ ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ ลักษณะ ๒ แบ่งบุคคลออกเป็น ๒ ประเภท คือ
(๑) บุคคลธรรมดา
(๒) นิติบุคคล.
(๑) บุคคลธรรมดา หมายความถึง คน หรือ มนุษย์ ซึ่งสามารถมีสิทธิ และหน้าที่ตามกฎหมาย.
(๒) นิติบุคคล หมายความถึง กลุ่มบุคคล หรือ องค์กร ซึ่งกฎหมาย บัญญัติให้เป็นบุคคลอีกประเภทหนึ่ง ที่ไม่ใช่บุคคลธรรมดา และ ให้มีสิทธิ และ หน้าที่ตามกฎหมาย องค์กรนั้นอาจเป็นองค์กรของรัฐที่กฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นนิติบุคคลด้วย.
นิติบุคคลจะต้องมี ผู้แทนของนิติบุคคล คนหนึ่ง หรือหลายคน ตามที่ กฎหมาย ข้อบังคับ หรือตราสารจัดตั้ง กำหนดไว้ เป็น ผู้แสดงออกถึงความประสงค์ของนิติบุคคลนั้น (มาตรา ๗๐).
กฎหมายประเภทนี้ จะวางระเบียบความเกี่ยวพันระหว่างบุคคล ในเรื่องที่เกี่ยวกับ สถานภาพ สิทธิ หน้าที่ และ ความรับผิด ของบุคคล และ ความเกี่ยวพันทาง การค้า หรือ ธุรกิจ ระหว่างบุคคล ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ตามกฎหมาย ได้แก่ กฎหมายแพ่ง กฎหมายพาณิชย์ กฎหมายอาญา และ พระราชบัญญัติต่างๆที่มีลักษณะเดียวกัน.
สำหรับกฎหมายอาญา เป็นกฎหมายที่มีลักษณะแตกต่างจาก กฎหมายแพ่ง และกฎหมายพาณิชย์ โดยกฎหมายอาญา จะมุ่งเน้นถึง การทำโทษ บุคคลผู้ก่อให้เกิดความเดือดร้อน ความเสียหาย ต่อความมั่นคงของประเทศ ต่อ ชีวิต ร่างกาย อนามัย สิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศชื่อเสียง และทรัพย์สินของบุคคลอื่น หรือ แก่สังคมโดยรวม เป็นต้น โดย จะกำหนดลักษณะของการกระทำที่ถือว่าเป็นความผิด และกำหนดโทษทางอาญาสำหรับการกระทำที่ถือเป็นความผิดไว้.
กฎหมายเอกชนจึงมีองค์ประกอบที่เป็นสาระสำคัญ ๔ ประการคือ
(๑) สถานภาพ (๒) สิทธิ (๓)หน้าที่ (๔) ความรับผิด
(๑) สถานภาพ หมายความถึง ฐานะ ตำแหน่ หรือ เกียรติยศ ของบุคคลที่ปรากฎในสังคม.
“ฐานะ” หมายความถึง ความเป็นอยู่ในครอบครัว, ความเป็นอยู่ในสังคม.
ความเป็นอยู่ในครอบครัว ได้แก่ในฐานะเป็น บิดา มารดา เป็นบุตร หลาน
ความเป็นอยู่ในสังคม ได้แก่ ในฐานะเป็นประธานในที่ประชุม เป็นหัวหน้าครอบครัว หัวหน้ากลุ่ม.
ตำแหน่งของบุคคลธรรมดา ไม่ใช่ ตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ แต่เป็น ตำแหน่งหน้าที่การงาน ของเอกชน เช่นประธานบริษัท ประธานมูลนิธิ หรือประธานกรรมการ หรือกรรมการองค์กรของเอกชน.
(๒) สิทธิ หมายความถึง อำนาจที่จะกระทำการใดๆได้ โดยได้รับการรับรองจากกฎหมาย.
สิทธิ ไม่เหมือนกับ อำนาจ มีความแตกต่างกันอย่างมาก เพราะ สิทธิ ไม่สามารถใช้บังคับบุคคลอื่นให้ปฏิบัติตามที่ตนต้องการได้ การที่เรามีสิทธิ หรือ เป็นผู้ทรงสิทธิ เป็นเพียง การก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลอื่นที่จะต้องละเว้นไม่กระทำการใดๆอันเป็นการล่วงสิทธิ หรือ ละเมิดสิทธิของเรา เท่านั้น.
การใช้สิทธิ ที่กฎหมายกำหนดให้มีนั้น ก็ใช้ได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิ และเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี ของประชาชน
หากมีบุคคลอื่นละเมิดสิทธิ ล่วงสิทธิ หรือโต้แย้งสิทธิ เราก็ไม่สามารถบังคับด้วยตนเอง เพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจไว้ ผู้ทรงสิทธิจะต้องใช้สิทธิฟ้องร้องให้พนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย จัดการให้ ตามบทบัญญัติของกฎหมาย เช่นนำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาล เพื่อให้ศาลพิพากษาบังคับให้ หรือ ใช้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ (รัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา ๒๖, ๒๗, ๒๘)
สิทธิมีหลายประเภท ได้แก่
(๑) สิทธิในชีวิตและร่างกาย.
(๒) สิทธิในชื่อเสียง.
(๓) สิทธิในทรัพย์สิน และ.
(๔) สิทธิอื่นๆตามที่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร์ไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ บัญญัติไว้ โดยกำหนดให้ออกกฎหมาย ในภายหลัง เช่น สิทธิที่จะได้รับการให้บริการจากรัฐ ในเรื่องการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า ๑๒ ปี โดยรัฐไม่เก็บค่าใช้จ่าย, สิทธิของบุคคลที่มีอายุเกินหกสิบปีบริบูรณ์ ที่จะได้รับความช่วยเหลือให้มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ, สิทธิของคนพิการ ที่จะได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก, สิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานของรัฐ, สิทธิที่จะฟ้องร้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย.
(๑) สิทธิในชีวิตและร่างกาย ได้แก่สิทธิที่จะดำรงความเป็นอยู่ สิทธิที่จะกระทำการใดๆ หรือ แสดงกริยาอาการใดๆ หรือพูดได้โดยอิสระ โดยได้รับการรับรองคุ้มครองจากกฎหมาย ทั้งนี้โดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น (เสรีภาพ)
(๒)สิทธิในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือ ความเป็นอยู่ส่วนตัว ได้แก่สิทธิ ในเกียรติยศ หรือเกียรติโดยฐานะ ตำแหน่งหน้าที่ หรือ ชาติชั้นวรรณะ ความยกย่องนับถือ ความมีหนัามีตา.
(๓) สิทธิในทรัพย์สิน ได้แก่สิทธิในวัตถุ ทั้งที่มีรูปร่าง และ ไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและ ถือเอาได้.
ทรัพย์สิน มี ๒ ประเภท คือ
ก. อสังหาริมทรัพย์
๐ ทรัพย์ที่นำไปไม่ได้ คือทรัพย์ที่ติดอยู่กับที่ เช่น ที่ดิน.
๐ ที่ดิน และทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร หรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้น และให้หมายความรวมถึง ทรัพยสิทธิ อันเกี่ยวกับที่ดิน หรือทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดิน หรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดินนั้นด้วย.
ข. สังหาริมทรัพย์
๐ ทรัพย์ที่นำไปได้ คือทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ ตรงข้ามกับอสังหาริมทรัพย์.
๐ ทรัพย์สินอื่น นอกจากอสังหาริมทรัพย์ และรวมถึงสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นด้วย.

สิทธิในทรัพย์สิน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เรียกสิทธิชนิดนี้ ว่า “ทรัพยสิทธิ”
(มาตรา ๑๒๙๘ ทรัพยสิทธิทั้งหลายนั้น ท่านว่าจะก่อตั้งขึ้นได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฎหมายนี้ หรือ กฎหมายอื่น)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้คำนิยามความหมายของคำว่า “ทรัพยสิทธิ” ไว้ว่า
“ทรัพยสิทธิ” หมายความถึง สิทธิเหนือทรัพย์ ที่จะก่อตั้งขึ้นได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย.

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนด สิทธิเหนือทรัพย์สิน หรือ ทรัพยสิทธิ ไว้ ๗ ชนิด คือ ( ดู ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ เรื่อง ทรัพย์สิน)
(๑) กรรมสิทธิ์ ได้แก่สิทธิทั้งปวง ที่เจ้าของมีอยู่เหนือทรัพย์สิน อันได้แก่ สิทธิใช้สอย จำหน่าย ได้ดอกผล กับทั้งสิทธิติดตาม และเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตน และสิทธิขัดขวางมิให้บุคคลอื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้น โดยมิชอบด้วยกฎหมาย. (มาตรา ๑๓๐๘–๑๓๖๖)
(๒) สิทธิครอบครอง ได้แก่สิทธิของบุคคลที่จะยึดถือทรัพย์สินไว้ โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน. (มาตรา ๑๓๖๗–๑๓๘๖)
(๓) ภาระจำยอม ได้แก่ ข้อผูกพันอันเป็นเหตุให้เจ้าของ อสังหาริมทรัพย์ จำต้องรับกรรมบางอย่าง ซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่าง อันมีอยู่ในกรรมสิทธิทรัพย์สินนั้น เพื่อประโยชน์แก่ อสังหาริมทรัพย์ อื่น เช่น ทางภาระจำยอม. (มาตรา ๑๓๘๗–๑๔๐๑)
(๔) สิทธิอาศัย กฎหมายแพ่งและพานิชย์ กำหนดให้มีแต่ สิทธิอาศัยในโรงเรือน. (มาตรา ๑๔๐๒–๑๔๐๙)
(๕) สิทธิเหนือพื้นดิน คือ สิทธิเป็นเจ้าของโรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือ สิ่งเพาะปลูก บนดิน หรือใต้ดินนั้น. (มาตรา ๑๔๑๐–๑๔๑๖)
(๖) สิทธิเก็บกิน ได้แก่สิทธิ ซึ่ง ผู้ทรงสิทธิ มีสิทธิครอบครอง ใช้ และ ถือเอาซึ่งประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์. (มาตรา ๑๔๑๗–๑๔๒๘)
(๗) ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ข้อผูกพัน ที่ผู้รับประโยชน์ มีสิทธิ ได้รับชำระหนี้ เป็นคราวๆ จาก อสังหาริมทรัพย์ ที่ตกอยู่ในภาระติดพัน หรือได้ใช้ และถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งทรัพย์สินตามที่ระบุไว้. (๑๔๒๙–๑๔๓๔)
(๓) หน้าที่ หมายความถึง กิจที่ควรทำ, กิจที่ต้องทำ, วงแห่งกิจการ.
หน้าที่มี ๒ประเภท คือ หน้าที่ตามกฎหมาย และหน้าที่ตามนิติกรรม หรือสัญญา.
หน้าที่ตามกฎหมาย ได้แก่หน้าที่ที่กำหนดไว้โดยชัดแจ้ง ตามรัฐธรรมนูญ หมวด ๔ (มาตรา ๖๖–๗๐) เช่น มีหน้าที่ในการปฏิบัติตามกฎหมาย หน้าที่ป้องกันประเทศ และ การมีหน้าที่ต้องเคารพสิทธิของบุคคลอื่น ต้องละเว้นไม่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น.
หน้าที่ตามสัญญา ได้แก่การมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญา เช่นเป็นลูกหนี้ ก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัตการชำระหนี้ตามมูลหนี้ .
หน้าที่ของสามัญชน แตกต่างจาก หน้าที่ของเจ้าพนักงาน เพราะ หน้าที่ของเจ้าพนักงาน เป็นหน้าที่ ที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อ รักษาประโยชน์ส่วนรวม อำนวยความสะดวก และให้บริการแก่ประชาชน (มาตรา ๗๐)
(๔) ความรับผิด
ความรับผิดมี ๒ ประเภท คือ
(๑) ความรับผิดทางแพ่ง หมายถึง การมีหน้าที่ผูกพันตามกฎหมายที่จะต้องชำระหนี้ หรือ กระทำการ หรือ งดเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง.
(๒) ความรับผิดทางอาญา หมายความถึงการรับ โทษทางอาญาตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายอาญา.
โทษสำหรับลงแก่ผู้กระทำความผิด มี ๕ ประการ คือ
(๑) ประหารชีวิต (๒) จำคุก (๓) กักขัง (๔) ปรับ (๕) ริบทรัพย์สิน (มาตรา ๑๘)
หมายเหตุ
บุคคล ที่ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ และอำนาจ ตามกฎหมาย (ข้าราชการ หรือ พนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐ) ไม่มีความรับผิดทางวินัย

สรุป เรื่องประเภทของกฎหมาย
กฎหมาย แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ
(๑) กฎหมายที่ใช้ในการบริหารบ้านเมือง เป็น กฎหมายที่กำหนดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคลผู้มีอำนาจปกครอง กับ บุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครอง กับ ผู้ถูกปกครอง และ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครอง กับผู้ปกครองด้วยกัน กฎหมายประเภทนี้ บัญญัติขึ้นเพื่อประโยชน์ในการบริหารประเทศโดยเฉพาะ ในทางวิชาการเรียกกันว่า “กฎหมายปกครอง”
กฎหมายปกครอง มีองค์ประกอบ ที่เป็นสาระสำคัญ ๕ ประการ คือ ๑. สถาบัน ๒. ตำแหน่ง ๓. หน้าที่ ๔. อำนาจ ๕. ความรับผิดชอบ.
(๒) กฎหมายที่ใช้บังคับบุคคลในความสัมพันธ์ระหว่างกัน เป็นกฎหมายที่กำหนดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลธรรมดา หรือ สามัญชน ด้วยกัน ทางวิชาการเรียกว่า “กฎหมายเอกชน”
กฎหมายเอกชน มีองค์ประกอบที่เป็นสาระสำคัญ ๔ ประการ คือ ๑. สถานภาพ ๒. สิทธิ ๓. หน้าที่ ๔. ความรับผิด
ข้อสังเกต
๑. กฎหมายเอกชน ไม่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินแต่อย่างใด แม้ว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะมีตำแหน่งหน้าที่ในทางบริหารราชการก็ตาม.
๒. กฎหมายเอกชนจะใช้คำว่า “สิทธิ” ไม่ใช้คำว่า “อำนาจ”.
๓. กฎหมายเอกชน ใช้คำว่า “ความรับผิด” ไม่ใช้คำว่า “ความรับผิดชอบ”.
๔. คำว่า “อำนาจ” และ “ความรับผิดชอบ” ในกฎหมายเอกชน จะใช้ในกรณี ผู้แทนของนิติบุคคล หรือ ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ในสถาบันครอบครัว.
๕. ถ้อยคำต่างๆ เหล่านี้ บางครั้งกฎหมาย ก็ใช้โดยตรง บางครั้ง ใช้คำนิยามแทน ซึ่งเมิ่อแปลความหมายกลับแล้ว ก็จะได้ความเป็นอย่างเดียวกัน.
๔. กฎหมาย ต้องมีสภาพบังคับ
คำว่า “บังคับ” เป็นคำกริยา หมายความว่า ใช้อำนาจสั่งให้ทำ หรือสั่งให้ปฏิบัติ, ให้จำต้องทำ.
กฎหมายที่ประกาศใช้บังคับประชาชนให้ต้องปฏิบัติตามนั้น ประกอบด้วย กฎหมาย ๒ ลักษณะ คือ กฎหมายสารบัญญัติ และ กฎหมายวิธีสบัญญัติ ซึ่งต้องใช้ประกอบกัน จะขาดส่วนหนึ่งส่วนใดไม่ได้ หากขาดส่วนหนึ่งส่วนใด กฎหมายก็จะไม่สมบูรณ์ ไม่มีสภาพบังคับ.
กฎหมายสารบัญญัติ คืออะไร?
คำว่า “สาร, สาระ” หมายความว่า ส่วนสำคัญ, ข้อใหญ่ใจความ, แก่นสาร.
กฎหมายสารบัญญัติ จึงหมายความถึง กฎหมายที่บัญญัติ เพื่อกำหนดเนื้อหา หรือข้อความที่เป็นสารสำคัญ เกี่ยวกับ สถาบัน สถานะ อำนาจ สิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ความรับผิด ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วยกัน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับรัฐ ข้อห้าม ข้อบังคับต่างๆ ได้แก่ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์, กฎหมายอาญา, และพระราชบัญญัติต่างๆ.
กฎหมายวิธีสบัญญัติ คืออะไร?
คำว่า "วิธี" หมายความว่า ทำนอง หรือหนทางที่จะทำ, แบบ, เยี่ยงอย่าง, กฎเกณฑ์.
ตัวอักษร "ส" เป็นคำประกอบหน้าคำอื่นที่มาจากภาษาบาลี และ สันสกฤต บ่งความว่า กอบด้วย, พร้อมด้วย, เช่น สเทวก หมายความว่า พร้อมด้วยเทวดา.
กฎหมายวิธีสบัญญัติ จึงหมายถึง กฎหมายที่ ประกอบด้วย หรือพร้อมด้วย มาตรการ แบบ วิธีการ หนทาง หรือ แนวทาง และ ขั้นตอนการบังคับใช้กฎหมายสาร
บัญญัติ หรือ กระบวนพิจารณา เพื่อให้กฎหมายสารบัญญัติ มีผลบังคับที่เห็นเป็นรูปธรรม ทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม จึงจะได้รับความรับรอง คุ้มครอง บังคับตามสิทธิ จะฝ่าฝืนไม่ได้ หากฝ่าฝืน ก็จะไม่ได้รับการรับรอง คุ้มครอง และอาจ ได้รับโทษ หรือ อาจถูกบังคับให้ปฏิบัติตาม ได้แก่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกฎหมายวิธีพิจารณาคดีพิเศษต่างๆ เช่น คดีภาษี คดีแรงงาน คดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น.
มาตรการบังคับของกฎหมาย
กฎหมายได้กำหนดมาตรการ และ วิธีการบังคับไว้ ๒ ประเภทคือ
(๑) การลงโทษ
(๒) การบังคับให้ปฏิบัติตามข้อบังคับ.
(๑) การลงโทษ ผู้ที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายอาญา จะต้องรับผิดในทางอาญา โดยจะต้องถูกลงโทษตามกฎเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้
คำว่า "โทษ" หมายความว่า มาตรการที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับ ดำเนินการแก่ ผู้กระทำความผิดอาญา
โทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายอาญา มี ๕ ประการคือ
๑. ประหารชีวิต ๒. จำคุก ๓. กักขัง ๔. ปรับ ๕. ริบทรัพย์สิน

คำว่า " ลงโทษ" หมายความว่า ทำโทษ เช่น จำขัง จำคุก เป็นต้น.

(๒) การบังคับให้ปฏิบัติตามข้อบังคับ การบังคับให้ปฏิบัติตามข้อบังคับของกฎหมาย เป็นสภาพบังคับทางกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แก่ การบังคับให้ชำระหนี้ หากไม่ชำระจะถูกบังคับยึดทรัพย์สินออกขายทอดตลาด เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ หรืออาจถูกฟ้องให้ตกเป็นบุคคลล้มละลาย เป็นต้น ไม่มีการลงโทษเหมือนกรณีฝ่าฝืนกฎหมายอาญา.