tag:blogger.com,1999:blog-15168838753365827432024-03-13T04:55:50.306-07:00viewpukteema(ภัคธีมา)4-8http://www.blogger.com/profile/02787002158589068529noreply@blogger.comBlogger13125tag:blogger.com,1999:blog-1516883875336582743.post-34546783669623335662010-08-02T08:56:00.000-07:002010-08-02T08:58:34.429-07:00รัฐบาลไทย(คณะรัฐมนตรี)<h2 style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><br /><span style="font-size:100%;"><span class="mw-headline"></span></span></h2><h2 style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><br /></h2><h2 style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><br /></h2><h2 style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><br /></h2><h2 style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><br /></h2><h2 style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><img alt="http://emis.fpo.go.th/News/NewsPicture/200610/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5.jpg" src="http://emis.fpo.go.th/News/NewsPicture/200610/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5.jpg" /></h2><h2 style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><br /></h2><h2 style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><br /></h2><h2 style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"><span class="mw-headline">ความหมายและความสำคัญ</span></span></h2> <p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"> <span style="font-size:100%;"><b>คณะรัฐมนตรี</b> ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง คณะบุคคลซึ่ง<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B9%8C" class="mw-redirect" title="พระมหากษัตริย์">พระมหากษัตริย์</a>ทรงแต่งตั้ง ประกอบด้วย<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5" title="นายกรัฐมนตรี">นายกรัฐมนตรี</a>คนหนึ่ง และ<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5" title="รัฐมนตรี">รัฐมนตรี</a>อื่นอีกไม่เกินจำนวนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อทําหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน. <sup id="cite_ref-0" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-0" title="">[1]</a></sup></span> </p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"> <span style="font-size:100%;"><b><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5" title="รัฐมนตรี">รัฐมนตรี</a></b> ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง ผู้เป็นสมาชิกของคณะรัฐมนตรี หรือ คณะรัฐบาล รับผิดชอบร่วมกับ คณะรัฐมนตรีในนโยบายทั่วไปของรัฐบาลใน<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99" title="การบริหารราชการแผ่นดิน">การบริหารราชการแผ่นดิน</a>, ถ้าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือทบวง ก็เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกระทรวงหรือทบวงที่ตนว่าการ และรับผิดชอบในการบริหารราชการกระทรวงหรือทบวงนั้นด้วยอีกฐานะหนึ่ง (คำว่ารัฐมนตรีนี้ในสมัยโบราณ หมายถึง ที่ปรึกษาราชการบ้านเมืองใน<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1" class="new" title="สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (ยังไม่ได้สร้าง)">สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์</a>). <sup id="cite_ref-1" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-1" title="">[2]</a></sup> <a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5" title="รัฐมนตรี">รัฐมนตรี</a> (Minister) ของกระทรวงต่างๆนี้ เมื่อได้รับการแต่งตั้งครบทุกกระทรวงตามจำนวนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อทำหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินร่วมกันนี้ในฐานะผู้นำในการบริหาร ประเทศ ก็จะเรียกรวมกันว่าเป็น คณะรัฐมนตรี </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"> <span style="font-size:100%;"><b>คณะรัฐมนตรี</b> (Cabinet) จึงเป็นคณะบุคคลที่ประกอบด้วยบุคคลผู้มีตำแหน่งต่างๆกันหลายคน มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ให้เป็นไปตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา<sup id="cite_ref-2" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-2" title="">[3]</a></sup> ตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย อันประกอบด้วย หัวหน้าคณะ 1 คน ซึ่งมักเรียกว่า <a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5" title="นายกรัฐมนตรี">นายกรัฐมนตรี</a> และ<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5" title="รัฐมนตรี">รัฐมนตรี</a>อื่น ตามจำนวนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะ มีอำนาจเรียกประชุม กำหนดเรื่องที่จะประชุม เป็นประธานในที่ประชุม และขอมติจากที่ประชุม ตลอดจนบังคับบัญชา หรือสั่งการในเรื่องต่างๆ </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"> <span style="font-size:100%;"><b>องค์ประกอบของคณะรัฐมนตรี</b> รัฐธรรมนูญในอดีตกำหนดจำนวนรัฐมนตรีไว้แตกต่างกัน ซึ่งปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา171 ได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี 1 คน และรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 35 คน รวมคณะรัฐมนตรีทั้งคณะไม่เกิน 36 คน<sup id="cite_ref-3" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-3" title="">[4]</a></sup> คณะรัฐมนตรีในที่นี้ อาจประกอบด้วย <a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5" title="รัฐมนตรี">รัฐมนตรี</a>ประเภท ต่างๆได้แก่ นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง รัฐมนตรีว่าการทบวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง และรัฐมนตรีช่วยว่าการทบวง<sup id="cite_ref-4" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-4" title="">[5]</a></sup> ซึ่งจะมีจำนวนมากน้อยเท่าใดก็ได้ แต่จำนวนรวมกันต้องไม่เกินจำนวนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด (กรณีที่ แต่งตั้งบุคคลคนเดียวให้ดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่ง จะยึดจำนวนคนเป็นหลักไม่ใช่นับตามตำแหน่ง เช่น เป็นทั้งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็จะนับว่าเท่ากับคนเดียว) </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> ความสำคัญของคณะรัฐมนตรี ในฐานะผู้ที่มีหน้าที่ใน<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99" title="การบริหารราชการแผ่นดิน">การบริหารราชการแผ่นดิน</a>ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในแต่ละหน่วยงาน จึงอาจสรุปว่า คณะรัฐมนตรีมีความสำคัญใน 3 ด้าน<sup id="cite_ref-5" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-5" title="">[6]</a></sup> คือ </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> 1. ด้านกฎหมาย โดยมีอำนาจหน้าที่ในการเป็นผู้ใช้กฎหมายโดยตรง และเป็นผู้เสนอกฎหมายต่างๆเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารกิจการ ราชการต่างๆของประเทศให้เป็นไปโดยราบรื่น </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> 2. ด้านนโยบายการเมือง<sup id="cite_ref-6" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-6" title="">[7]</a></sup> คณะรัฐมนตรีนั้นเป็นองค์กรสูงสุดที่มีกำหนดนโยบายทั้งระดับภายในและภายนอก ประเทศ โดยภายในประเทศเป็นผู้กำหนดการบริหารราชการแผ่นดินโดยตรง ส่วนภายนอกประเทศมีอำนาจกระทำการผูกพันในฐานะตัวแทนของรัฐหรือประเทศและมีผล ผูกพัน </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> 3. ด้านอำนาจ ถือเป็นองค์กรที่มีอำนาจทางด้านการบริหาร ซึ่งมีอำนาจกำหนดนโยบายต่างๆซึ่งเท่ากับเป็นการกำหนดทิศทางของประเทศ และยังมีอำนาจบังคับบัญชาสั่งการข้าราชการซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาใน ทุกระดับทั่วประเทศ ดังนั้นอำนาจที่มากมายเหล่านี้ย่อมกระทบต่อประชาชนโดยรวมอย่างกว้างขวาง ผู้ใช้อำนาจจึงควรใช้อำนาจด้วยความเป็นธรรม ตามหลัก ธรรมาภิบาล </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> คณะรัฐมนตรีนั้น กฎหมายถือว่า เป็นข้าราชการประเภทหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าเป็น "ข้าราชการการเมือง" ซึ่งเข้ารับตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุทางการเมือง จะต่างจากข้าราชการประจำทั่วๆไป ดังนั้น คำว่า "คณะรัฐมนตรี" เป็นคำที่ใช้ ในกฎหมาย มุ่งหมายถึงเฉพาะข้าราชการการเมืองผู้มีตำแหน่งรัฐมนตรีดังกล่าว ตรงกับที่ใช้ในภาษาอังกฤษว่า "Council of Ministers" หรือ "Cabinet" ยังมีอีกคำหนึ่งที่ใช้ควบคู่กันคือคำว่า "<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5&action=edit&redlink=1" class="new" title="รัฐบาล (ยังไม่ได้สร้าง)">รัฐบาล</a>" หรือ "Government" ในบางครั้งคณะรัฐมนตรีและรัฐบาลมีความหมายอย่างเดียวกัน แต่ บางครั้ง คำว่ารัฐบาลอาจมีความหมายกว้างกว่านั้น เพราะอาจรวมไปถึงข้าราชการประจำและเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของฝ่ายบริหาร อีกด้วย เพื่อแยกให้ เห็นว่า เป็นคนละฝ่ายกับภาคเอกชน และคนละฝ่ายกับสมาชิกรัฐสภา<sup id="cite_ref-7" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-7" title="">[8]</a></sup> จึงอาจกล่าวได้ว่านายกรัฐมนตรีอยู่ในฐานะที่เป็นทั้งหัวหน้าของคณะรัฐมนตรีและหัวหน้ารัฐบาลไปพร้อมๆกัน </span></p> <span style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" ><a name=".E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.84.E0.B8.A7.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B9.80.E0.B8.9B.E0.B9.87.E0.B8.99.E0.B8.A1.E0.B8.B2.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.84.E0.B8.93.E0.B8.B0.E0.B8.A3.E0.B8.B1.E0.B8.90.E0.B8.A1.E0.B8.99.E0.B8.95.E0.B8.A3.E0.B8.B5"></a></span><h2 style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"> <span style="font-size:100%;"><span class="mw-headline">ประวัติความเป็นมาของคณะรัฐมนตรี</span></span></h2> <p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> ในประเทศไทย คณะรัฐมนตรีมีที่มาจากคณะเสนาบดีในอดีต ตั้งแต่สมัยอยุธยาเริ่มมีเสนาบดีเวียง วัง คลัง นา รับผิดชอบแต่ละฝ่าย และยังมีเสนาบดีเรื่อยมาจนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ทั้งนี้แนวคิดเกี่ยวกับคณะรัฐมนตรี (Cabinet) ได้ถูกเสนอขึ้นมาเป็นครั้งแรกในช่วง ปี รศ.103 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าสภาพบ้านเมืองขณะนั้น ยังไม่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงเต็มรูปแบบ แต่ก็ได้ทรงจัดระเบียบการปกครองบ้านเมืองใหม่ครั้งใหญ่ โดยทรงจัดตั้งกระทรวงต่างๆขึ้น มีเสนาบดีเป็นหัวหน้ากระทรวง ทำหน้าที่ในลักษณะของคณะรัฐมนตรีแต่<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B9%8C" class="mw-redirect" title="พระมหากษัตริย์">พระมหากษัตริย์</a>ยังคงทรงเป็นประธาน<sup id="cite_ref-8" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-8" title="">[9]</a></sup> โดยระบบคณะเสนาบดีนี้ได้ดำเนินมาจนถึงรัชสมัย<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7&action=edit&redlink=1" class="new" title="พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ยังไม่ได้สร้าง)">พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว</a> ซึ่งมีการจัดตั้ง<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2" title="อภิรัฐมนตรีสภา">อภิรัฐมนตรีสภา</a> เพื่อทำหน้าที่ถวายคำปรึกษา แต่แนวคิดเกี่ยวกับคณะรัฐมนตรีก็ยังคงมีอยู่ดังปรากฎใน<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%8D_%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5&action=edit&redlink=1" class="new" title="ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับของพระยากัลยาณไมตรี (ยังไม่ได้สร้าง)">ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับของพระยากัลยาณไมตรี</a> มาตรา 3-5<sup id="cite_ref-9" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-9" title="">[10]</a></sup> ซึ่งได้ถูกคัดค้านและไม่มีการนำมาปฏิบัติจริง อย่างไรก็ตามอาจสรุปได้ว่าการบริหารราชการแผ่นดินก่อนการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองนั้นเป็นเรื่องของพระมหากษัตริย์โดยตรง<sup id="cite_ref-10" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-10" title="">[11]</a></sup> แม้บางครั้งจะมีคณะบุคคลร่วมทำงานในการเป็นที่ปรึกษาต่างๆ หรือช่วยบริหารงานราชการกระทรวงต่างๆก็ตาม </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> คณะรัฐมนตรีเต็มรูปแบบในระบบรัฐสภาคณะแรกของไทยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 เดิมนั้นใช้ชื่อว่า <b><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%A3&action=edit&redlink=1" class="new" title="คณะกรรมการราษฎร (ยังไม่ได้สร้าง)">คณะกรรมการราษฎร</a></b> เกิดขึ้นเมื่อ <b>พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว</b> ได้พระราชทานพระบรมราชานุมัติ ให้ใช้<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%8D%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7_%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_2475&action=edit&redlink=1" class="new" title="พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 (ยังไม่ได้สร้าง)">พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475</a><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%A3&action=edit&redlink=1" class="new" title="การประชุมสภาผู้แทนราษฎร (ยังไม่ได้สร้าง)">การประชุมสภาผู้แทนราษฎร</a>ขึ้นเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมในวันที่ 28 มิถุนายน 2475 โดย<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%A3" title="สภาผู้แทนราษฎร">สภาผู้แทนราษฎร</a>ได้เลือก <b><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%97_%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B2&action=edit&redlink=1" class="new" title="มหาอำมาตย์โท พระยามโนปกรณนิติธาดา (ยังไม่ได้สร้าง)">มหาอำมาตย์โท พระยามโนปกรณนิติธาดา</a> (ก้อน หุตะสิงห์)</b> เป็นประธานคณะกรรมการราษฎร จากนั้นประธานคณะกรรมการราษฎรจึงได้เสนอชื่อคณะกรรมการราษฎรให้สภาอนุมัติซึ่งคณะกรรมการราษฎรนี้ไม่มีการ<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99" title="แถลงนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน">แถลงนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน</a>ต่อสภา โดยถือเอาหลัก 6 ประการของ<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%A3" title="คณะราษฎร">คณะราษฎร</a>เป็น นโยบายของรัฐบาล ในระหว่างที่ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรอยู่นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงทักท้วงว่าการใช้คำว่า "<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%A3&action=edit&redlink=1" class="new" title="กรรมการราษฎร (ยังไม่ได้สร้าง)">กรรมการราษฎร</a>" แทน "Minister" หรือ "<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%B5&action=edit&redlink=1" class="new" title="เสนาบดี (ยังไม่ได้สร้าง)">เสนาบดี</a>"ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ทรงเห็นว่าไม่ไพเราะและ ไม่ค่อยถูกต้องนัก<sup id="cite_ref-11" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-11" title="">[12]</a></sup> เพราะฟังดูเป็นโซเวียต ในรัฐสภาจึงถกเถียงกันในเรื่องนี้อย่างมาก และที่ประชุมรัฐสภาได้ลงมติให้ใช้คำว่า “<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5" title="รัฐมนตรี">รัฐมนตรี</a>” แทน “<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%A3&action=edit&redlink=1" class="new" title="กรรมการราษฎร (ยังไม่ได้สร้าง)">กรรมการราษฎร</a>” และใช้คำว่า “<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5" title="นายกรัฐมนตรี">นายกรัฐมนตรี</a>” แทน “<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%A3&action=edit&redlink=1" class="new" title="ประธานคณะกรรมการราษฎร (ยังไม่ได้สร้าง)">ประธานคณะกรรมการราษฎร</a>” และคำว่า “คณะรัฐมนตรี” แทนคำว่า “<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%A3&action=edit&redlink=1" class="new" title="คณะกรรมการราษฎร (ยังไม่ได้สร้าง)">คณะกรรมการราษฎร</a>” ซึ่งคำว่าคณะรัฐมนตรีหมายถึง “<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" class="new" title="ข้าราชการผู้ใหญ่ในแผ่นดิน (ยังไม่ได้สร้าง)">ข้าราชการผู้ใหญ่ในแผ่นดิน</a>” มิใช่ที่ปรึกษาของแผ่นดินอีกต่อไป<sup id="cite_ref-12" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-12" title="">[13]</a></sup> และประกาศ ใช้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักสยาม พุทธศักราช 2475 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 นับแต่นั้นมา<sup id="cite_ref-13" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-13" title="">[14]</a></sup> ปัจจุบันประเทศไทยมีคณะรัฐมนตรี รวมทั้งสิ้น 59 คณะ </span> เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 และได้มี</p> <span style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" ><a name=".E0.B8.84.E0.B8.B8.E0.B8.93.E0.B8.AA.E0.B8.A1.E0.B8.9A.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.A3.E0.B8.B1.E0.B8.90.E0.B8.A1.E0.B8.99.E0.B8.95.E0.B8.A3.E0.B8.B5.E0.B8.95.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B8.A3.E0.B8.B1.E0.B8.90.E0.B8.98.E0.B8.A3.E0.B8.A3.E0.B8.A1.E0.B8.99.E0.B8.B9.E0.B8.8D"></a></span><h2 style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"> <span style="font-size:100%;"><span class="mw-headline">คุณสมบัติของรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ</span></span></h2> <p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 174 ได้กำหนดว่า รัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้าม<sup id="cite_ref-14" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-14" title="">[15]</a></sup> โดยสรุปดังต่อไปนี้ </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> (1) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> (2) มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปีบริบูรณ์ </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> (3) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> (4) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 102 (1) (2) (3) (4) (6) (7) (8) (9) (11) (12) (13) หรือ (14) (ได้แก่ ติดยาเสพติดยาเสพติดให้โทษ เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องคำพิพากษาให้จำคุกหรือถูกคุมขังโดยหมายของศาล เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิ ชอบในวงราชการ เป็นต้น) </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> (5) ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีก่อนได้รับแต่ง ตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> (6) ไม่เป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาซึ่งสมาชิกภาพสิ้นสุดลงมาแล้วยังไม่เกินหนึ่งปีนับ ถึงวันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี </span></p> <span style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" ><a name=".E0.B8.AD.E0.B8.B3.E0.B8.99.E0.B8.B2.E0.B8.88.E0.B8.AB.E0.B8.99.E0.B9.89.E0.B8.B2.E0.B8.97.E0.B8.B5.E0.B9.88.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.84.E0.B8.93.E0.B8.B0.E0.B8.A3.E0.B8.B1.E0.B8.90.E0.B8.A1.E0.B8.99.E0.B8.95.E0.B8.A3.E0.B8.B5"></a></span><h2 style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"> <span style="font-size:100%;"><span class="mw-headline">อำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี</span></span></h2> <p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> เมื่อพิจารณาตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฏีกา ตลอดจนระเบียบหรือ มติคณะรัฐมนตรี<sup id="cite_ref-15" class="reference"><a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5#cite_note-15" title="">[16]</a></sup> แล้ว อำนาจหน้าที่หลักๆ ของคณะรัฐมนตรีสรุปได้ ดังนี้ </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> 1. กำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> 2. บริหารราชการแผ่นดินตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา เป็นผู้ใช้อำนาจบริหารในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> 3. รับสนองพระบรมราชโองการเกี่ยวกับกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> 4. เสนอกฎหมาย พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ รวมทั้งออก<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%94" title="พระราชกำหนด">พระราชกำหนด</a>ให้ ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติ ในกรณีฉุกเฉินรีบด่วนมีความจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ในอันที่จะรักษาความ ปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือปัดป้องภัยภิบัติสาธารณะ นอกจากนี้มีอำนาจออก<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2" title="พระราชกฤษฎีกา">พระราชกฤษฎีกา</a>เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศ โดยต้องไม่ขัดต่อกฎหมายลำดับสูงกว่า </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> 5. เป็นผู้บริหารสูงสุดในแต่ละกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างกระทรวง วางระเบียบข้อบังคับของแต่ละกระทรวง พิจารณา ตัดสินใจ วินิจฉัยชี้ขาด ลงมติ เรื่องต่างๆตามที่แต่ละกระทรวงเสนอมา </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> 6. มีสิทธิเข้าประชุม เพื่อชี้แจงและ แถลงข้อเท็จจริงในที่ประชุมสภา แต่ไม่มีสิทธิออกคะแนนเสียง หรือในกรณี<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%A3" title="สภาผู้แทนราษฎร">สภาผู้แทนราษฎร</a> หรือ<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B8%E0%B8%92%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2" title="วุฒิสภา">วุฒิสภา</a>มีมติให้รัฐมนตรีเข้าร่วมประชุมในเรื่องใด ก็ต้องเข้าประชุม และมีสิทธิร้องขอให้มีการประชุมลับ </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> 7. ในกรณีมีเรื่องสำคัญและต้องการรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกรัฐสภา มีสิทธิเสนอให้เปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติได้ </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> 8. เสนอให้มีการออกเสียง<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B4" title="ประชามติ">ประชามติ</a>ในกรณีกิจการใดที่เป็นเรื่องมีผลดีผลเสียกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> 9. อำนาจหน้าที่อื่นๆ ซึ่งกระทำภายใต้พระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ เช่น การประกาศใช้และการเลิกใช้กฎอัยการศึก <a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1" title="การประกาศสงคราม">การประกาศสงคราม</a> การอภัยโทษแก่ผู้ต้องโทษ และการถอดถอนฐานันดรศักดิ์ เป็นต้น </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> 10. อำนาจหน้าที่เฉพาะอื่นๆ ตามบทบัญญัติในกฎหมายต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมาย </span></p><p style="font-family: arial; color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;"> จากบทบาทที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดข้างต้น มิอาจปฏิเสธได้เลยว่า คณะรัฐมนตรี เป็นองค์กรที่ความสำคัญมาก จนสามารถกล่าวได้ว่าเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนรัฐนาวา หากมีคณะรัฐมนตรีที่ดีมีศักยภาพ ปกครองประเทศโดย<a href="http://www.thaipoliticsgovernment.org/w/index.php?title=%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90&action=edit&redlink=1" class="new" title="หลักนิติรัฐ (ยังไม่ได้สร้าง)">หลักนิติรัฐ</a> ใช้อำนาจในทางที่เหมาะสม เป็นประโยชน์ต่อชาติ ก็ย่อมจะนำพาประเทศไปสู่ความสำเร็จทัดเทียมนานาประเทศสืบไป</span> </p>pukteema(ภัคธีมา)4-8http://www.blogger.com/profile/02787002158589068529noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1516883875336582743.post-25180046006847467202010-08-02T08:23:00.000-07:002010-08-02T08:46:39.013-07:00การจัดระเบียบบริหารราชการเเผ่นดิน<span style="font-size:100%;"><b><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><br /></span></b></span><img alt="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEik167MGOzOhjfh0FJtZjQhWDxNE7Dil6Oiz79LkHBawRO9RouRvU-3bfsLl3hR9eaucNK6brnkmJoInZJ-teZ13IZVXX8zkCDf3ZSlZmuDCeYQSwUXnYWBKQ_33NAZZcoI6YT2GtXxepJY/s320/66403democracy_200.jpg" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEik167MGOzOhjfh0FJtZjQhWDxNE7Dil6Oiz79LkHBawRO9RouRvU-3bfsLl3hR9eaucNK6brnkmJoInZJ-teZ13IZVXX8zkCDf3ZSlZmuDCeYQSwUXnYWBKQ_33NAZZcoI6YT2GtXxepJY/s320/66403democracy_200.jpg" /><br /><span style="font-size:100%;"><b><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><br /><br /></span></b></span><div style="text-align: center;"><br /></div><span style="font-size:100%;"><b><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><br /><br /><br /><br /><br />ความเป็นมาการบริหารราชการแผ่นดินไทย<a name="1"></a><br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">1. การบริหารราชการแผ่นดินก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี พ.ศ. 2547<br /> มีวิวัฒนาการมาจากการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการจัดโครงสร้างการบริหารตามหน้า ในรูปกระทรวงแทนการจัดตามพื้นที่ดังที่เป็นมาแต่โบราณ การปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 นับเป็นการวางรากฐานสำคัญของการจัดระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินในระยะต่อ มา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารราชการส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคที่เน้นการรวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง<br /> </span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">2. การบริหารราชการแผ่นดินหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475<br /> </span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">2.1 การบริหารราชการแผ่นดินตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2546<br /> เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินรวบรัดและเร็วยิ่งขึ้น สาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับ มีดังนี้ (ชูวงศ์ ฉายะบุตร, 2539: 66 - 67)<br /> </span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----</span></span></b></span> <p><span style="font-size:100%;"><b><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">1. มีการจัดระเบียบการบริหารราชการออกเป็น 3 ส่วน ได้แก<br /> </span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">- ราชการบริหารส่วนกลาง<br /> </span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">- ราชการบริหารส่วนภูมิภาค<br /> </span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">- ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น<br /> </span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">2. มีการกำหนดฐานะของกระทรวงให้เป้นทบวงการเมือง<br /> </span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">3. มีการปรับโอนอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการส่วนภูมิภาคให้ในคณะกรมจังหวัด<br /> </span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">4. ยกเลิกมณฑลคงเหลือแต่จังหวัด อำเภอที่เป็นราชการส่วนภูมิภาค<br /> </span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">5. กำหนดราชการบริหารส่วนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นมา </span></span></b></span> </p> <p><span style="color: rgb(255, 0, 255);font-family:MS Sans Serif;font-size:100%;" ><b><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span>2.2 การบริหารราชการแผ่นดินตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชาการแผ่นดิน พ.ศ. 2495<br /> มีการใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม เหตุผลในการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้คือ<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span>2.1 ให้ปลัดกระทรวงมีอำนาจรับผิดชอบในราชการประจำมีอำนาจบังคับบัญชา<br /> ข้าราชการในกระทรวงได้<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span>2.2 กระจายอำนาจสั่งการจากส่วนกลางไปสู่ส่วนภูมิภาค<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span>2.3 ปรับปรุงการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นใหม่<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span>2.3 การบริหารราชการแผ่นดินตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218<br /> <br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span>การบริหารราชการตามกฎหมายประกาศคณะปฏิวัติ มีปัญหาหลายประการ ได้แก่<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span>ประการแรก การซ้ำชอนอันเนื่องจาการขยายงาน<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span>ประการที่สอง ขาดบทบัญญัติที่ให้อำาจรัฐมนตรีอย่างชัดเจน<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span>ประการที่สาม ขาดการกำหนดแผนงานในระดับกระทรวงอย่างแท้จริง<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span>ประการที่สี่ มีกฎหมายพิเศษที่ระบุอำนาจที่เป็นเฉพาะ<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span>ประการที่ห้า อำนาจยังไปกระจุกตัวอยู่ที่หัวหน้า<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span>ประการที่หก ขาดเอกภาพในการบริหารงาน<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span> 2.4 การบริหารราชการแผ่นดินตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534<br /> เป็นกฎหมายหลักในการจัดระเบียบบริหารประกาศใช้แทนประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 โดยมีประเด็นสำคัญของการปรับปรุง ได้แก่<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span>ประการแรก มีการกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span>ประการที่สอง มีการกำหนดบทบัญญัติที่ให้การบริหารงานระดับกระทรวงมีเอกภาพ<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span>ประการที่สาม กำหนดให้มีการมอบอำนาจลดหลั่นลงไปในระดับต่าง ๆ<br /> </b></span></p> <div align="center"><span style="font-size:100%;"><b><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><br /> <br /> </span></b></span> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="38%"> <tbody><tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_01.jpg" width="300" height="16" /></span></td> </tr> <tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_02.jpg" width="300" height="17" /></span></td> </tr> <tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_03.jpg" width="300" height="19" /></span></td> </tr> <tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_04.jpg" width="300" height="19" /></span></td> </tr> <tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_05.jpg" width="300" height="21" /></span></td> </tr> <tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_06.jpg" width="300" height="17" /></span></td> </tr> <tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_07.jpg" width="300" height="22" /></span></td> </tr> <tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_08.jpg" width="300" height="21" /></span></td> </tr> <tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_09.jpg" width="300" height="23" /></span></td> </tr> <tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_10.jpg" width="300" height="21" /></span></td> </tr> <tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_11.jpg" width="300" height="20" /></span></td> </tr> <tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_12.jpg" width="300" height="17" /></span></td> </tr> <tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_13.jpg" width="300" height="19" /></span></td> </tr> <tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_14.jpg" width="300" height="20" /></span></td> </tr> <tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_15.jpg" width="300" height="16" /></span></td> </tr> <tr> <td><span style="font-size:100%;"><img src="http://reg.ksu.ac.th/teacher/katanyu/lesson/images/pic_16.jpg" width="300" height="20" /></span></td> </tr> </tbody></table> <div align="left"><span style="font-size:100%;"><b><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><br /> <span style="color: rgb(255, 0, 255);"><br /> </span><span style="color: rgb(255, 0, 255);font-family:MS Sans Serif;" ><b><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span></b></span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">1. การบริหารราชการส่วนกลางจะต้องนำนโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติ ก็คือการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง<br /> </span><span style="color: rgb(255, 0, 255);font-family:MS Sans Serif;" ><b><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">-------------</span></span></b></span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">1. สำนักนายกรัฐมนตรี<br /> </span><span style="color: rgb(255, 0, 255);font-family:MS Sans Serif;" ><b><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">-------------</span></span></b></span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">2. กระทรวงหรือทบวง<br /> </span><span style="color: rgb(255, 0, 255);font-family:MS Sans Serif;" ><b><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">-------------</span></span></b></span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">3. ทบวงซึ่งสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี<br /> </span><span style="color: rgb(255, 0, 255);font-family:MS Sans Serif;" ><b><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">----------</span></span><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">-------------</span></span></b></span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">4. กรมหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น </span></span></b></span> <p><span style="font-size:100%;"><b><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 0, 255);font-family:MS Sans Serif;" ><b><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">-----------------------</span></span></b></span></span><span style="color: rgb(255, 0, 255);font-family:MS Sans Serif;" >สำนักนายกรัฐมนตรี<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 0, 255);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">-----------------------</span></span></span></span>การจัดระเบียบราชการในกระทรวงหรือทบวงมีระเบียบดังนี้<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 0, 255);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">-------------------------</span></span></span></span>- สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 0, 255);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">-------------------------</span></span></span></span>- สำนักงานปลัดกระทรวง<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 0, 255);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">-------------------------</span></span></span></span>- กรมหรือส่วนราชการทีเรียกชื่ออย่างอื่น<br /> <span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 0, 255);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 51, 0);font-family:MS Sans Serif;" ><span style="color: rgb(255, 255, 255);">--------------------</span></span></span></span>2. การบริหารราชการส่วนภูมิภาคพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 บัญญัติว่า ให้จัดระบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค ดังนี้<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);"><br /> ---------</span>1. จังหวัด<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>1.1 ให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอตั้งชื่อเป็นจังหวัด<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>1.2 ในจังหวัดนั้น ให้มีผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่ง<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>1.3 ในจังหวัดให้มีปลัดจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>1.4 ในจังหวัดหนึ่งให้มีคณะกรรมการจังหวัด<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พระราชบัญญัติระเบียบบริหารแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 60 บัญญัติไว้ว่า "ให้แบ่งส่วนราชการของจังหวัด" ดังนี้<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>1. มีหน้าที่เกี่ยวกัลป์ราชการทั่วไปและการวางแผ่นพัฒนาจังหวัด<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>2. มีหน้าที่ที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวง ทบวง กรมนั้น ๆ มีหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด<br /> <br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>2. อำเภอ<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>อำเภอเป็นหน่วยราชการส่วนภูมิภาค รองจังหวัดระเบียบราชาการในอำเภอที่สำคัญ ๆ มีดังนี้<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>1. มีนายอำเภอคนหนึ่ง เป็นหัวหน้าปกครอง<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>2. มีปลัดอำเภอคนหนึ่ง<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>3. ให้แบ่งส่วนราชการของอำเภอดังนี้<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>3.1 มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไป<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>3.2 มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวง ทบวง กรมนั้น ๆ มีหัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอนั้น ๆ เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชารับผิดชอบ<br /> <br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span> 4. ตำบล<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ร.บ. พ.ศ. 2457 ระบุไว้ว่า หลาย ๆ หมู่บ้านรามกันราว 20 หมู่บ้าน ให้จัดตั้งเป็นตำบลหนึ่ง<br /> การจัดระเบียบปกครองตำบล<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>1. กำนัน เป็นผู้ได้รับเลือกจากราษฏรในตำบลนั้น มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อยในตำบล<br /> <br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>5. หมู่บ้าน<br /> ให้จัดเป็นหมู่บ้านโดยถือเอาจำนวนราษฏรประมาณ 200 คน หรือ จำนวนบ้านไม่ต่ำกว่า 5 บ้าน<br /> <br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span> การจัดระเบียบการปกครองหมู่บ้าน<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>ผู้ใหญ่บ้าน<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>การจัดระเบียบการปกครองหมู่บ้าน<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>1. ผู้ใหญ่บ้าน มีหน้าปกครองราษฏรที่อยู่ในเขตหมู่บ้านนั้น<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>2. ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน มีหมู่บ้านละ 2 คน<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>3. คณะกรรมการหมู่บ้าน ประกอบด้วยผู้ใหญ่บ้านประธาน ผู้ช่วยเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง<br /> มีหน้าที่เสนอข้อแนะนำให้คำปรึกษาต่อผู้ใหญ่บ้าน<br /> <br /> <br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span> 3. การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น <br /> การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น คือ การใช้หลักการกระจายอำนาจ การจัดระเบียบราชการบริหารส่วนท้องถิ่นในปัจจุบัน มีอยู่ 2 ระบบ คือ<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>1. ระบบทั่วไปที่ใช้แก่ท้องถิ่นทั่วไป มี 3 รูปแบบ คือ เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>2. ระบบพิเศษที่ใช้เฉพาะท้องถิ่นบางแห่งซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา<br /> ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับการบริหารราชการขององค์กรปกครองท้องถิ่น<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>1. ความสัมพันธ์ในเชิงการจัดภารกิจระหว่างภารกิจของรัฐ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>1.1 ภารกิจทางปกครอง<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>1.2 ภารกิจทางเศรษฐกิจ<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>1.3 ภารกิจทางสังคม<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>1.4 ภารกิจของท้องถิ่น<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>2. ความสัมพันธ์ในเชิงควบคุมกำกับดูแล<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>2.1 การควบคุมกำกับโดยตรง<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>2.2 การควบคุมกำกับโดยอ้อม<br /> <br /> ความเป็นมาของการปกครองท้องถิ่นไทย<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>ความเป็นมาหรืออาจเรียกว่า พัฒนาการการปกครองท้องถิ่นของไทยจัดลำดับขั้นตอนของพัฒนาการได้เป็นลำดับดังนี้<br /> พ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ทดลองตัดตั้งหน่วยการปกครอง แบบใหม่ในระดับท้องถิ่น<br /> <br /> หน้าที่สำคัญคือการรักษาความสะอาดในชุมชน<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2448 เกิดสุขาภิบาลท่าฉลอม<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2451 จัดตั้งสุขาภิบาลในหัวเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ แบ่งออกเป็น 2ประเภท คือสุขาภิบาลเมือง สุขาภิบาลตำบล<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2453-2468 รัชกาลที่ 6 ทดลองจัดตั้งสภาประชาธิปไตยในระดับชาติ ส่งผลให้สุขาภิบาลมีสภาพอยู่กับที่<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2470 รัชกาลที่ 7 ทรงตั้งคณะกรรมการขึ้นขุดหนึ่งทำการศึกษาบทเรียนจากต่างประเทศ<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2473 ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล <br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2474 รัชกาลที่ 7 ทรงพระราชทานสัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ต่าง ประเทศ<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2476 รัฐบาลของคณะราษฏรมีนโยบายขัดเจนที่จะกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2488 เทศบาลทั่วประเทศมีเพียง 117 แห่ง การปกครองเทศบาลไม่เหมาะสม<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2495 จอมพล ป.พิบูลสงคราม เดินทางไปดูงานต่างประเทศจึงตัดสินใจนำการปกครองท้องถิ่นรูปแบบสุขาภิบาลมาใช้อีกครั้ง<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2498 รัฐบาล ได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนตำบลให้มีฐานะเป็นหน่วยการปกครองท้างถิ่นเป็นนิติบุคล<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2509 รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ปรับปรุงองค์การบริหารส่วนตำบลใหม่<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2515 มีประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335 รวมเทศบาลกรุงเทพกับเทศบาลธนบุรี<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ.2521 มีการตราพระราชบัญญัติเมืองพัทยา กำหนดให้เมืองพัทยาเป็นนิติบุคล<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2528 มีการเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพ<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2535-2539 พรรคการเมือง 5 พรรค เสนอนโยบายหาเสียงว่าจะกระอำนายไปสู่ท้องถิ่น<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2540 มีการออก พ.ร.บ. องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2541-2542 มีการออก พ.ร.บ. ยกเลิก พ.ร.บ. สุขาภิบาล พ.ศ.2491<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>ออก พ.ร.บ. เปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาล พ.ศ.2542<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>แก้ไข้เพิ่มเติม พ.ร.บ. เทศบาล พ.ศ.2496 และออก พ.ร.บ. เทศบาล ฉบับที่ 11<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span><span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>มีการออก พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2543 มีกฎหมายกำหนดทิศทางขององค์กรปกครองท้องถิ่น<br /> <span style="color: rgb(255, 255, 255);">---------</span>พ.ศ. 2544 มีการเสนอกฎหมายที่สำคัญเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่น</span></b></span></p><p><br /></p><img alt="http://www.cmw.ac.th/elibrary/fileselibrary/Social/kunya003/nav/nav_1_sec6_bhb.gif" src="http://www.cmw.ac.th/elibrary/fileselibrary/Social/kunya003/nav/nav_1_sec6_bhb.gif" /><p><br /></p><p><br /></p><p><br /></p><p></p></div> </div>pukteema(ภัคธีมา)4-8http://www.blogger.com/profile/02787002158589068529noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1516883875336582743.post-7181312924552427912010-07-09T00:51:00.000-07:002010-08-02T08:31:45.745-07:00ประวัติการกบฎ ปฏิวัติเเละการรัฐประหารในประเทศไทย<span style="font-size:100%;"><br /></span><span style="font-size:100%;"><br /></span><p align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-family:arial;font-size:100%;" ><img style="width: 175px; height: 165px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJVmVxMw28nBmGzSeNq-ACoCZhqlLoxIa28jFHGl7XpttAGpN1BEYz1CbIjXcQC6W5KtS4S_tnUGuFl0OVi7J6yXmBQJMaeCqRKa5TGTPHMX4itmfGMQlQQT9-BEvbHYaOENXDQrfxoHc/s400/social18.jpg" width="317" height="204" /></span></p><span style="font-size:100%;"><br /></span><span style="font-size:100%;"><br /></span><div align="left"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-family:arial;font-size:100%;" >ประวัติการปฏิวัติรัฐประหารและกบฎ ในประเทศไทย<br /><br />'กบฏ ปฏิวัติ รัฐประหาร' โดยสาระสำคัญแล้ว การทำรัฐประหาร คือการใช้กำลัง<br />อำนาจเข้าเปลี่ยนแปลงอำนาจของรัฐ โดยมาก หากรัฐประหารครั้งนั้นสำเร็จ จะ<br />เรียกว่า 'ปฏิวัติ' แต่หากไม่สำเร็จ จะเรียกว่า 'กบฏ'<br /><br />จาก พ.ศ. 2475 - พ.ศ. 2534 มีการก่อรัฐประหารหลายครั้ง ทั้งที่เป็น การปฏิวัติ<br />และเป็น กบฏ มีดังนี้<br /><br /></span></div><p align="center"><span style="font-size:100%;"><img style="width: 209px; height: 154px;" src="http://www.odi.stou.ac.th/King7/Map/image/p7-2.jpg" width="263" height="365" /></span></p><div align="left"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-family:arial;font-size:100%;" ></span> </div><div align="left"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-family:arial;font-size:100%;" ></span> </div><div align="left"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-family:arial;font-size:100%;" >พ.ศ. เหตุการณ์ หัวหน้าก่อการ รัฐบาล<br />2475 ปฏิวัติ 24 มิถุนายน พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา พระบาทสมเด็จพระปก<br />เกล้าฯ<br />2476 รัฐประหาร พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา พระยามโนปกรณ์นิติธาดา<br />2476 กบฎบวรเดช พล.อ.พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช พ.อ.พระยาพหลพล<br />พยุหเสนา<br />2478 กบฎนายสิบ ส.อ.สวัสดิ์ มหะหมัด พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา<br />2481 กบฎพระยาสุรเดช พ.อ.พระยาสุรเดช พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา<br />2490 รัฐประหาร พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์<br />2491 กบฎแบ่งแยกดินแดน ส.ส.อีสานกลุ่มหนึ่ง นายควง อภัยวงศ์<br />2491 รัฐประหาร คณะนายทหารบก นายควง อภัยวงศ์<br />2491 กบฏเสนาธิการ พล.ต.สมบูรณ์ ศรานุชิต จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />2492 กบฎวังหลวง นายปรีดี พนมยงค์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />2494 กบฎแมนฮัตตัน น.อ.อานน บุณฑริกธาดา จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />2494 รัฐประหาร จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />2497 กบฎสันติภาพ นายกุหราบ สายประสิทธิ์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />2500 รัฐประหาร จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />2501 รัฐประหาร จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพล ถนอม กิตติขจร<br />2514 รัฐประหาร จอมพล ถนอม กิตติขจร จอมพล ถนอม กิตติขจร<br />2516 ปฏิวัติ 14 ตุลาคม ประชาชน จอมพล ถนอม กิตติขจร<br />2519 รัฐประหาร พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช<br />2520 กบฎ 26 มีนาคม พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร<br />2520 รัฐประหาร พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร<br />2524 กบฎ 1 เมษายน พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์<br />2528 การก่อความไม่สงบ 9 กันยายน พ.อ.มนูญ รูปขจร * พล.อ.เปรม ติณสูลา<br />นนท์<br />2534 รัฐประหาร พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ<br />* คณะบุคคลกลุ่มนี้ อ้างว่า พลเอก เสริม ณ นคร อดีตผู้บัญชาทหารสูงสุดเป็นหัว<br />หน้า แต่หัวหน้าก่อการจริงคือ พ.อ. มนูญ รูปขจร<br /><br />ประวัติการปฏิวัติรัฐประหารและกบฎ ในประเทศไทย (2475 - 2534)<br /><br />การปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475<br /><br />" คณะราษฎร " ซึ่งประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือนบางกลุ่ม จำนวน<br />99 นาย มีพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้าคณะ ได้ทำการยึดอำนาจการ<br />ปกครองประเทศ จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาประชาธิปก พระปกเกล้า<br />เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7 เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิ<br />ราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีรัฐธรรมนูญใช้เป็นหลักในการปกครอง<br />ประเทศสืบต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริ ที่จะพระราช<br />ทานรัฐธรรมนูญ ให้แก่ปวงชนชาวไทยอยู่ก่อนแล้ว จึงทรงยินยอมตามคำร้องขอ<br />ของคณะราษฎร ที่ทำการปฏิวัติในครั้งนั้น<br /><br />รัฐประหาร 20 มิถุนายน 2476<br /><br />พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา พร้อมด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือนคณะ<br />หนึ่ง ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศอีกครั้งหนึ่ง เพื่อขอให้พระยามโน<br />ปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นลาออกจากตำแหน่งซึ่งเป็นการริดร<br />อนอำนาจภายในคณะราษฏร ที่มีการแตกแยกกันเอง<br />ในส่วนของการใช้อำนาจ ต้องมีมาตรการป้องกันมิให้ใช้อำนาจในทางที่ละเมิดต่อ<br />กฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมและประเทศชาติ เช่น ให้มีศาลคดีการ<br />เมือง ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการรัฐสภา สำนักงานคณะกรรมการ<br />ตรวจเงินแผ่นดินที่มีอิสระอย่างเต็มที่ การประกาศทรัพย์สินของนักการเมืองทุกคน<br />ทุกตำแหน่ง การออกกฎหมายผลประโยชน์ขัดกัน ฯลฯ<br /><br />กบฏบวชเดช 11 ตุลาคม 2476<br /><br />พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้า<br />ฝ่ายทหารจากหัวเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ก่อการเพื่อล้มล้างอำนาจของ<br />รัฐบาล โดยอ้างว่าคณะราษฎรปกครองประเทศไทยโดยกุมอำนาจไว้แต่เพียงแต่<br />เพียงผู้เดียว และปล่อยให้บุคคลกระทำการหมิ่นองค์พระประมุขของชาติ รวมทั้ง<br />จะดำเนินการปกครองโดยลัทธิคอมมิวนิสต์ ตามแนวทางของนายปรีดี พนมยงค์<br />คณะผู้ก่อการได้ยกกำลังเข้ายึดดอนเมืองเอาไว้ ฝ่ายรัฐบาลได้แต่งตั้ง พ.ท.หลวง<br />พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการกองกำลังผสม ออกไปปราบปรามจนประสบผล<br />สำเร็จ<br /><br />กบฏนายสิบ 3 สิงหาคม 2478<br /><br />ทหารชั้นประทวนในกองพันต่างๆ ซึ่งมีสิบเอกสวัสดิ์ มหะมัด เป็นหัวหน้า ได้ร่วมกัน<br />ก่อการเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยจะสังหารนายทหารในกองทัพบก และ<br />จับพระยาพหลพลพยุหเสนาฯ และหลวงพิบูลสงครามไว้เป็นประกัน รัฐบาล<br />สามารถจับกุมผู้คิดก่อการเอาไว้ได้ หัวหน้าฝ่ายกบฏถูกประหารชีวิต โดยการ<br />ตัดสินของศาลพิเศษในระยะต่อมา<br /><br />กบฏพระยาทรงสุรเดช 29 มกราคม 2481<br /><br />ได้มีการจับกุมบุคคลผู้คิดล้มล้างรัฐบาล เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ให้กลับไป<br />สู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ดังเดิม นายพันเอกพระยาทรงสุรเดชถูกกล่าวหาว่า<br />เป็นหัวหน้าผู้ก่อการ และได้ให้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร ต่อมารัฐบาลได้<br />จัดตั้งศาลพิเศษขึ้นพิจารณา และได้ตัดสินประหารชีวิตหลายคน ผู้มีโทษถึง<br />ประหารชีวิตบางคน เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร นายพลโท<br />พระยาเทพหัสดิน นายพันเอกหลวงชานาญยุทธศิลป์ ได้รับการลดโทษเป็นจำคุก<br />ตลอดชีวิต เนื่องจากศาลเห็นว่าเป็นผู้ได้ทำคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติมา<br />ก่อน<br /><br />รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490<br /><br />คณะนายทหารกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมี พลโทผิน ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้าสำคัญ ได้เข้ายึด<br />อำนาจรัฐบาล ซึ่งมีพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ<br />แล้วมอบให้นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลต่อไป ขณะเดียว<br />กัน ได้แต่งตั้ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย<br /><br />กบฏแบ่งแยกดินแดน 28 กุมภาพันธ์ 2491<br /><br />จะมีการจับกุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรของภาคตะวันออกเฉียงเหนือหลายคน<br />เช่น นายทิม ภูมิพัฒน์ นายถวิล อุดล นายเตียง ศิริขันธ์ นายฟอง สิทธิธรรม<br />โดยกล่าวหาว่าร่วมกันดำเนินการฝึกอาวุธ เพื่อแบ่งแยกดินแดนภาคอีสานออกจาก<br />ประเทศไทย แต่รัฐบาลไม่สามารถดำเนินการจับกุมได้ เนื่องจากสมาชิกผู้แทนรา<br />ษฏรมีเอกสิทธิทางการเมือง<br /><br />รัฐประหาร 6 เมษายน 2491<br /><br />คณะนายทหารซึ่งทำรัฐประหารเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490 บังคับให้นายควง อภัย<br />วงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วมอบให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้า<br />ดำรงตำแหน่งต่อไป<br /><br />กบฏเสนาธิการ 1 ตุลาคม 2491<br /><br />พลตรีสมบูรณ์ ศรานุชิต และพลตรีเนตร เขมะโยธิน เป็นหัวหน้าคณะนายทหาร<br />กลุ่มหนึ่ง วางแผนที่จะเข้ายึดอำนาจการปกครอง และปรับปรุงกองทัพจากความ<br />เสื่อมโทรม และได้ให้ทหารเข้าเล่นการเมืองต่อไป แต่รัฐบาลซึ่งมีจอมพล ป.<br />พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ทราบแผนการ และจะกุมผู้คิดกบฏได้สำเร็จ<br /><br />กบฏวังหลวง 26 มิถุนายน 2492<br /><br />นายปรีดี พนมยงค์ กับคณะนายทหารเรือ และพลเรือนกลุ่มหนึ่ง ได้นำกำลังเข้า<br />ยึดพระบรมมหาราชวัง และตั้งเป็นกองบัญชาการ ประกาศถอดถอน รัฐบาลจอม<br />พล ป. พิบูลสงคราม และนายทหารผู้ใหญ่หลายนาย พลตรีสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้รับ<br />การแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยกาปราบปราม มีการสู้รบกันในพระนครอย่างรุนแรง รัฐบาล<br />สามารถปราบฝ่ายก่อการกบฏได้สำเร็จ นายปรีดี พนมยงค์ ต้องหลบหนออกนอก<br />ประเทศอีกครั้งหนึ่ง<br /><br />กบฏแมนฮัตตัน 29 มิถุนายน 2494<br /><br />นาวาตรีมนัส จารุภา ผู้บังคับการเรือรบหลวงสุโขทัยใช้ปืนจี้จอมพล ป. พิบูล<br />สงคราม ไปกักขังไว้ในเรือรบศรีอยุธยา นาวาเอกอานน บุญฑริกธาดา หัวหน้าผู้<br />ก่อการได้สั่งให้หน่วยทหารเรือมุ่งเข้าสู่พระนครเพื่อยึดอำนาจ และประกาศตั้ง<br />พระยาสารสาสน์ประพันธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เกิดการสู้รบกันระหว่างทหารเรือ กับ<br />ทหารอากาศ จอมพล ป. พิบูลสงคราม สามารถหลบหนีออกมาได้ และฝ่ายรัฐบาล<br />ได้ปรามปรามฝ่ายกบฏจนเป็นผลสำเร็จ<br /><br />รัฐประหาร 29 พฤศจิกายน 2494<br /><br />จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจตนเอง เนื่องจากรัฐบาลไม่<br />สามารถควบคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้ ต้องใช้วิธีการให้ตำแหน่งและผล<br />ประโยชน์ต่างๆ แก่บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนอยู่<br />เสมอ ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2492 ซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้น มีวิธี<br />การที่เป็นประชาธิปไตยมากเกินไป จึงได้ล้มเลิกรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวเสีย<br />พร้อมกับนำเอารัฐธรรมนูญฉบับลงวันที่ 10 ธันวาคม 2475 มาใช้อีกครั้งหนึ่ง<br /><br />กบฏสันติภาพ 8 พฤศจิกายน 2497<br /><br />นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา) และคณะถูกจับในข้อหากบฏ โดยรัฐบาลซึ่ง<br />ขณะนั้นมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เห็นว่าการรวมตัวกันเรี่ยไร<br />เงิน และข้าวของไปแจกจ่ายแก่ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งขณะนั้น<br />กำลังประสบกับความเดือดร้อน เนื่องจากความแห้งแล้งอย่างหนัก เป็นการดำเนิน<br />การที่เป็นภัยต่อรัฐบาล นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ กับคณะถูกศาลตัดสินจำคุก 5<br />ปี<br /><br />รัฐประหาร 16 กันยายน 2500<br /><br />จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้าคณะนายทหารนำกำลังเข้ายึดอำนาจของ<br />รัฐบาลซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังจากเกิดการ<br />เลือกตั้งสกปรก และรัฐบาลได้รับการคัดค้านจากประชาชนอย่างหนัก จอมพล ป.<br />พิบูลสงคราม และพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ต้องหลบหนีออกไปนอกประเทศ<br /><br />รัฐประหาร 20 ตุลาคม 2501<br /><br />เป็นการปฏิวัติเงียบอีกครั้งหนึ่ง โดยจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งดำรงตำแหน่ง<br />นายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้น ลากออกจากตำแหน่ง ในขณะเดียวกันจอมพล<br />สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น ได้ประกาศยึดอำนาจการ<br />ปกครองประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากเกิดการขัดแย้งในพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล และมี<br />การเรียกร้องผลประโยชน์หรือตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง เป็นเครื่องตอบแทนกัน<br />มาก คณะปฏิวัติได้ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยกเลิกพระราชบัญญัติพรรคการ<br />เมือง และให้สภาผู้แทน และคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง<br /><br />รัฐประหาร 17 พฤศจิกายน 2514<br /><br />จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง<br />กลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทำการปฏิวัติตัวเอง ประกาศยกเลิกรัฐ<br />ธรรมนูญ ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขึ้นทำหน้าที่<br />ฝ่ายนิติบัญญัติ และให้ร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายในระยะเวลา 3 ปี<br /><br />ปฏิวัติโดยประชาชน 14 ตุลาคม 2516<br /><br />การเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญของนิสิตนักศึกษา และประชาชนกลุ่มหนึ่งได้แผ่<br />ขยายกลายเป็นพลังประชาชนจำนวนมาก จนเกิดการปะทะสู้รบกันระหว่างรัฐบาล<br />กับประชาชน เป็นผลให้จอมพลถนอม กิตติขจร นายักรัฐมนตรี จอมพลประภาส<br />จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ<br /><br />ปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน 6 ตุลาคม 2519<br /><br />พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ และคณะนายทหารเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศ<br />เนื่องจากเกิดการจลาจล และรัฐบาลพลเรือนในขณะนั้นยังไม่สามารถแก้ไขปัญหา<br />ได้โดยทันที คณะปฏิวัติได้ประกาศให้มีการปฏิวัติการปกครอง และมอบให้นาย<br />ธานินทร์ กรัยวิเชียร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี<br /><br />รัฐประหาร 20 ตุลาคม 2520<br /><br />พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะนายทหารเข้ายึดอำนาจของรัฐบาล ซึ่งมี<br />นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากรัฐบาลได้รับความไม่พอใจ<br />จากประชาชน และสถานการณ์จะก่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างข้าราชการมากยิ่ง<br />ขึ้น ประกอบกับเห็นว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ในการปฏิรูปการปกครอง ซึ่งมีระยะ<br />เวลาถึง 12 ปีนั้นนานเกินไป สมควรให้มีการเลือกตั้งขึ้นโดยเร็ว<br /><br />กบฎ 26 มีนาคม 2520<br /><br />พลเอกฉลาด หิรัญศิริ และนายทหารกลุ่มหนึ่ง ได้นำกำลังทหารจากกองพลที่ 9<br />จังหวัดกาญจนบุรี เข้ายึดสถานที่สำคัญ 4 แห่ง คือ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกสวน<br />รื่นฤดี กองบัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วน<br />หน้า สนามเสือป่า และกรมประชาสัมพันธ์ ฝ่ายทหารของรัฐบาลพลเรือน ภายใต้<br />การนำของ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลอากาศ<br />เอกกมล เดชะตุงคะ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลเอกเสริม ณ นคร ผู้<br />บัญชาการทหารบก ได้ปราบปรามฝ่ายกบฏเป็นผลสำเร็จ พลเอกฉลาด หิรัญศิริ<br />ถูกประหารชีวิตตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาศัยอำนาจตามมาตรา 21 ของรัฐ<br />ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2520<br /><br />กบฎ 1 เมษายน 2524<br /><br />พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา ด้วยความสนับสนุนของคณะนายทหารหนุ่มโดยการนำ<br />ของพันเอกมนูญ รูปขจร และพันเอกประจักษ์ สว่างจิตร ได้พยายามใช้กำลัง<br />ทหารในบังคับบัญชาเข้ายึดอำนาจปกครองประเทศ ซึ่งมีพลเอกเปรม ติณสูลา<br />นนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเกิดความแตกแยกในกองทัพบก แต่การปฏิวัติ<br />ล้มเหลว ฝ่ายกบฏยอมจำนนและถูกควบคุมตัว พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา สามารถ<br />หลบหนีออกไปนอกประเทศได้ ต่อมารัฐบาลได้ออกกฏหมายนิรโทษกรรมแก่ผู้มี<br />ส่วนเกี่ยวข้องการกบฏในครั้งนี้<br /><br /></span><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-family:arial;font-size:100%;" >การก่อความไม่สงบ 9 กันยายน 2528<br /><br />พันเอกมนูญ รูปขจร นายทหารนอกประจำการ ได้นำกำลังทหาร และรถถังจาก ม.<br />พัน 4 ซึ่งเคยอยู่ใต้บังคับบัญชา และกำลังทหารอากาศโยธินบางส่วน ภายใต้การ<br />นำของนาวาอากาศโทมนัส รูปขจร เข้ายึดกองบัญชาการทหารสูงสุด และประกาศ<br />ให้ พลเอกเสริม ณ นคร เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองของ<br />ประเทศ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในขณะที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี<br />และพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก<br />อยู่ในระหว่างการไปราชการต่างประเทศ กำลังทหารฝ่ายรัฐบาลโดยการนำของพล<br />เอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ รองผู้บัญชากรทหารสูงสุด ได้รวมตัวกันต่อต้านและควบ<br />คุมสถานการณ์ไว้ได้ในเวลาต่อมา พันเอกมนูญ รูปขจร และนาวาอากาศโทมนัส<br />รูปขจร หลบหนีออกนอกประเทศ การก่อความไม่สงบในครั้งนี้มีอดีตนายทหาร<br />ผู้ใหญ่หลายคน ตกเป็นผู้ต้องหาว่ามีส่วนร่วมอยู่ด้วย ได้แก่ พลเอกเสริม ณ นคร<br />พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พลอากาศเอกพะเนียง กานตรัตน์ พลเอกยศ เทพ<br />หัสดิน ณ อยุธยา และพลอากาศเอกอรุณ พร้อมเทพ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด<br /><br />รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534<br /><br />โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติซึ่งประกอบด้วย ทหารบก ทหารเรือ<br />ทหารอากาศ เจ้าหน้าที่-ตำรวจ และพลเรือน ภายใต้การนำของพลเอกสุนทร คง<br />สมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ<br />พลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบก พลเรือเอกประพัฒน์ กฤษณ-<br />จันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พลอากาศเกษตร โรจนนิล ผู้บัญชาการทหารอากาศ<br />พลตำรวจเอกสวัสดิ์ อมร-วิวัฒน์ อธิบดีกรมตำรวจ รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบ<br />เรียบร้อยแห่งชาติ และพลเอกอสิระพงศ์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารบก<br />เลขาธิการคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ได้เข้ายึดอำนาจการปกครอง<br />จากพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่ง<br />ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายก<br />รัฐมนตรี </span></div><p><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-family:arial;font-size:100%;" ></span> </p><p><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-family:arial;font-size:100%;" ><img style="width: 222px; height: 162px;" src="http://www.muanglung.com/communist03.jpg" width="300" height="190" /></span></p><p align="right"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-family:arial;font-size:100%;" ></span> </p><p><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-family:arial;font-size:100%;" > </span></p><div align="left"><br /></div>pukteema(ภัคธีมา)4-8http://www.blogger.com/profile/02787002158589068529noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1516883875336582743.post-32935398622497657512010-07-09T00:36:00.000-07:002010-07-09T00:45:16.040-07:00การเปลี่ยนเเปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475<a href="http://eingeing.blogspot.com/2010/06/24-2475.html"><span style="font-size:130%;color:#000000;">การเปลี่ยนเเปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475</span></a><br /><div class="date-outer" closure_uid_vesw70="7"><div class="date-posts"><div class="post-outer"><div class="post hentry uncustomized-post-template"><div class="post-header"><div class="post-header-line-1"></div></div><div class="post-body entry-content"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhhUDN9MDYjk9A0MlFlzryTZCUZCAMfuVUo8kMHtxB5vYCQEnFNSmZw4AApw-UxlUblVaTzyW0PiodYessF5TVwEPhaZ4imzPWBjSpMqOBwN5o-Ve0jCeX634M_sjr9Xi01NSyALdFscske/s1600/images[16].jpg"><span style="COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 126px; FLOAT: left; HEIGHT: 96px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5487357944978762978" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhhUDN9MDYjk9A0MlFlzryTZCUZCAMfuVUo8kMHtxB5vYCQEnFNSmZw4AApw-UxlUblVaTzyW0PiodYessF5TVwEPhaZ4imzPWBjSpMqOBwN5o-Ve0jCeX634M_sjr9Xi01NSyALdFscske/s320/images%5B16%5D.jpg" /></span></span></a><span style="COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> <span style="FONT-FAMILY: arial">การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 คือการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลง</span></span></span><a title="การปกครอง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸²à¸£à¸›à¸à¸„รอง"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">การปกครอง</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ของประเทศไทย จาก</span></span><a title="ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ระบอบสมบูรณาà¸à¸²à¸ªà¸´à¸—ธิราชย์"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ไปเป็น</span></span><a title="ระบอบประชาธิปไตย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ระบอบประชาธิปไตย"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ระบอบประชาธิปไตย</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> โดย</span></span><a title="คณะราษฎร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/คณะราษฎร"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">คณะราษฎร</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> ในวันที่ </span></span><a title="24 มิถุนายน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/24_มิถุนายน"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">24 มิถุนายน</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> </span></span><a title="พ.ศ. 2475" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พ.ศ._2475"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">พ.ศ. 2475</span></span></a><span style="COLOR: #cccccc"><br /><br /></span><span style="FONT-FAMILY: arial"><span style="COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"><strong>การเตรียมการเปลี่ยนแปลง<br /></strong>คณะราษฎรได้มีการประชุมเตรียมการหลายครั้ง รวมถึงได้มีการล้มเลิกแผนการบางแผนการ เช่น การเข้ายึดอำนาจในวัน</span></span></span><a title="พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B8%B2&action=edit&redlink=1"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ซึ่งตรงกับวันที่ </span></span><a title="16 มิถุนายน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/16_มิถุนายน"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">16 มิถุนายน</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> แต่เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง จนกระทั่งสุดท้ายได้ข้อสรุปว่าจะดำเนินการในเช้า</span></span><a title="วันศุกร์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วันศุà¸à¸£à¹Œ"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">วันศุกร์</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นช่วงที่</span></span><a title="พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระปà¸à¹€à¸à¸¥à¹‰à¸²à¹€à¸ˆà¹‰à¸²à¸­à¸¢à¸¹à¹ˆà¸«à¸±à¸§"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">เสด็จประทับที่</span></span><a title="วังไกลกังวล" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วังไà¸à¸¥à¸à¸±à¸‡à¸§à¸¥"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">วังไกลกังวล</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> ทำให้เหลือข้าราชการเพียงไม่กี่คนอยู่ในกรุงเทพทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะรุนแรงที่เสียเลือดเนื้อได้<br />ในการวางแผนดังกล่าวกระทำที่บ้าน </span></span><a title="ประยูร ภมรมนตรี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ประยูร_à¸"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> ในวันที่ </span></span><a title="12 มิถุนายน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/12_มิถุนายน"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">12 มิถุนายน</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> พ.ศ. 2475 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการวางแผนควบคุม</span></span><a title="กรมพระนครสวรรค์วรพินิต" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸£à¸¡à¸žà¸£à¸°à¸™à¸„รสวรรค์วรพินิต"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> ซึ่งเป็น</span></span><a title="ผู้สำเร็จราชการ (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3&action=edit&redlink=1"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ผู้สำเร็จราชการ</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">รักษาพระนคร โดยมีการเลื่อนวันเข้าดำเนินการหลายครั้งเพื่อความพร้อม<br />หลังจากนั้นยังได้มีการประชุมกำหนดแผนการเพิ่มเติมอีกที่บ้าน</span></span><a title="พระยาทรงสุรเดช" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระยาทรงสุรเดช"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">พระยาทรงสุรเดช</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> โดยมีการวางแผนว่าในวันที่ 24 มิถุนายนจะดำเนินการอย่างไร และมีการแบ่งงานให้แต่ละกลุ่ม แบ่งออกเป็น 4 หน่วยด้วยกัน คือ<br />หน่วยที่ 1 ทำหน้าที่ทำลายการสื่อสารและการคมนาคมที่สำคัญ เช่น </span></span><a title="โทรศัพท์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/โทรศัพท์"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">โทรศัพท์</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> </span></span><a title="โทรเลข" href="http://th.wikipedia.org/wiki/โทรเลข"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">โทรเลข</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> ดำเนินการโดยทั้งฝ่ายทหารบกและพลเรือน ทหารบกจะทำการตัดสายโทรศัพท์ของทหาร ส่วนโทรศัพท์กลางที่</span></span><a title="วัดเลียบ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วัดเลียบ"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">วัดเลียบ</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">มี นาย</span></span><a title="ควง อภัยวงศ์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ควง_อà¸"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ควง อภัยวงศ์</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> นาย</span></span><a title="ประจวบ บุนนาค (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%A7%E0%B8%9A_%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84&action=edit&redlink=1"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ประจวบ บุนนาค</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> นาย</span></span><a title="วิลาศ โอสถานนท์ (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A8_%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">วิลาศ โอสถานนท์</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> ดำเนินการ โดยมีทหารเรือทำหน้าที่อารักขา ส่วนสายโทรศัพท์และสายโทรเลขตาม</span></span><a title="ทางรถไฟ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ทางรถไฟ"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ทางรถไฟ</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">และ</span></span><a title="กรมไปรษณีย์ (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">กรมไปรษณีย์</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">เป็นหน้าที่ของ </span></span><a title="หลวงสุนทรเทพหัสดิน (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99&action=edit&redlink=1"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">หลวงสุนทรเทพหัสดิน</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> หม่อมหลวง</span></span><a title="อุดม สนิทวงศ์ (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A1_%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">อุดม สนิทวงศ์</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> หม่อมหลวง</span></span><a title="กรี เดชาติวงศ์ (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B5_%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">กรี เดชาติวงศ์</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> เป็นต้น ซึ่งหน่วยนี้ยังรับผิดชอบคอยกันมิให้รถไฟจากต่างจังหวัดแล่นเข้ามาด้วย โดยเริ่มงานตั้งแต่เวลา 06.00 น.<br />หน่วยที่ 2 เป็นหน่วยเฝ้าคุม โดยมากเป็นฝ่ายพลเรือนผสมกับทหาร ทำหน้าที่ควบคุมตัวเจ้านายและบุคคลสำคัญต่าง ๆ เช่น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต จาก</span></span><a title="วังสวนผักกาด" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วังสวนผัà¸à¸à¸²à¸”"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">วังสวนผักกาด</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">มายัง</span></span><a title="พระที่นั่งอนันตสมาคม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระที่นั่งอนันตสมาคม"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">พระที่นั่งอนันตสมาคม</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> </span></span><a title="พระประยุทธอริยั่น (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99&action=edit&redlink=1"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">พระประยุทธอริยั่น</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> จากกรมทหารบางซื่อ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการวางแผนให้เตรียมรถยนต์สำหรับลากปืนใหญ่มาตั้งเตรียมพร้อมไว้ โดยทำทีท่าเป็นตรวจตรารถยนต์อีกด้วย โดยหน่วยนี้ดำเนินงานโดย นาย</span></span><a title="ทวี บุณยเกตุ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ทวี_บุณยเà¸à¸•à¸¸"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ทวี บุณยเกตุ</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> นาย</span></span><a title="จรูญ สืบแสง (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%8D_%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87&action=edit&redlink=1"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">จรูญ สืบแสง</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> นาย</span></span><a title="ตั้ว ลพานุกรม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ตั้ว_ลพานุà¸à¸£à¸¡"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ตั้ว ลพานุกรม</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> </span></span><a title="หลวงอำนวยสงคราม (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1&action=edit&redlink=1"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">หลวงอำนวยสงคราม</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> เป็นต้น โดยฝ่ายนี้เริ่มงานตั้งแต่เวลา 01.00 น.<br />หน่วยที่ 3 เป็นหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนย้ายกำลัง ซึ่งทำหน้าที่ประสานทั้งฝ่ายทหารบกและทหารเรือ เช่น ทหารเรือจะติดไฟ</span></span><a title="เรือรบ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/เรือรบ"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">เรือรบ</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> และ</span></span><a title="เรือยามฝั่ง (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87&action=edit&redlink=1"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">เรือยามฝั่ง</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> ออกเตรียมปฏิบัติการณ์ตามลำน้ำได้ทันที<br />หน่วยที่ 4 เป็นฝ่ายที่เรียกกันว่า "มันสมอง" มี นาย</span></span><a title="ปรีดี พนมยงค์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ปรีดี_พนมยงค์"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ปรีดี พนมยงค์</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial"><span style="COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> เป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ร่างคำแถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญ และหลักกฎหมายปกครองประเทศต่าง ๆ รวมทั้งการเจรจากับต่างประเทศเพื่อทำความเข้าใจภายหลังการปฏิบัติการสำเร็จแล้ว<br />แม้ว่าทางคณะราษฎรจะพยายามที่ทำลายหลักฐานต่าง ๆ แล้ว ยังมีข่าวเล็ดรอดไปยังทางตำรวจ ซึ่งได้ออก</span></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQc80LCDznEIEvyrY4mNsLV86pfxephNwDCdB2w8QNW_OpeS7FvYZX5CJxDdYEFvYGO4wEQml3JB9bsfHIFf_8nLk8YL5lNPbRblHxlmYJwlj9sh4rCyBoLE8lazHZQr9y6LtTDN0hv_2h/s1600/images[7].jpg"><span style="COLOR: #cccccc"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 130px; FLOAT: left; HEIGHT: 89px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5487357794152406322" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQc80LCDznEIEvyrY4mNsLV86pfxephNwDCdB2w8QNW_OpeS7FvYZX5CJxDdYEFvYGO4wEQml3JB9bsfHIFf_8nLk8YL5lNPbRblHxlmYJwlj9sh4rCyBoLE8lazHZQr9y6LtTDN0hv_2h/s320/images%5B7%5D.jpg" /></span></a><span style="COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">หมายจับกลุ่มผู้ก่อการ 4 คน คือ </span></span></span><a title="หลวงประดิษฐ์มนูธรรม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/หลวงประดิษà¸à¹Œà¸¡à¸™à¸¹à¸˜à¸£à¸£à¸¡"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">หลวงประดิษฐ์มนูธรรม</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> </span></span><a title="แปลก พิบูลสงคราม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¹à¸›à¸¥à¸_พิบูลสงคราม"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">พ.ต. หลวงพิบูลสงคราม</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> </span></span><a title="ประยูร ภมรมนตรี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ประยูร_à¸"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> และ </span></span><a title="ตั้ว ลพานุกรม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ตั้ว_ลพานุà¸à¸£à¸¡"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">นายตั้ว ลพานุกรม</span></span></a><span style="COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"><span style="FONT-FAMILY: arial"> อย่างไรก็ตามเมื่อนำเข้าแจ้งแก่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ก็ถูกระงับเรื่องไว้ก่อน เนื่องจากไม่ทรงเห็นว่าน่าจะเป็นอันตราย และให้ทำการสืบสวนให้ชัดเจนก่อน<br />การยึดอำนาจในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475<br />เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ได้ใช้กลลวง นำทหารบกและทหารเรือมารวมตัวกันบริเวณรอบ </span><span style="FONT-FAMILY: arial"><a title="พระที่นั่งอนันตสมาคม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระที่นั่งอนันตสมาคม">พระที่นั่งอนันตสมาคม</span></span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> ประมาณ 2000 คน ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยอ้างว่าเป็นการสวนสนาม จากนั้น</span></span><a title="พระยาพหลพลพยุหเสนา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/พระยาพหลพลพยุหเสนา"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> ได้อ่าน </span></span><a title="s:ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑" href="http://th.wikisource.org/wiki/ประà¸à¸²à¸¨à¸„ณะราษฎร_ฉบับที่_๑"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> ณ บริเวณ</span></span><a title="ลานพระบรมรูปทรงม้า" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ลานพระบรมรูปทรงม้า"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">ลานพระบรมรูปทรงม้า</span></span></a><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> เสมือน ประกาศยึดอำนาจการปกครอง ก่อนจะนำกำลังแยกย้ายไปปฏิบัติการต่อไป<br />หลักฐานประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นหมุดทองเหลือง ฝังอยู่กับพื้นถนน บนลานพระบรมรูปทรงม้า ด้าน</span></span><a title="สนามเสือป่า" href="http://th.wikipedia.org/wiki/สนามเสือป่า"><span style="FONT-FAMILY: arial; COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;">สนามเสือป่า</span></span></a><span style="COLOR: #cccccc"><br /><br /></span><span style="FONT-FAMILY: arial"><span style="COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"><strong>สังคมไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 </strong><br />หลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ พ.ศ. 2475 ในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ครองราชย์นั้น สังคมไทยได้ก้าวสู่ความเป็นอารยะตามแบบตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเจริญที่ปรากฏอยู่ในรูปของวัตถุไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง รถไฟ ไฟฟ้า ประปา เขื่อนชลประทาน โรงพยาบาล</span></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1eLj1gnUeNBeL_c4xjRF2hqrSZ1Q7YmSM4vBS8JIOl0_UR6kfwB4LMONF71irGccnQxb9MTJaj01JPtNjbqM9BO1CnJoH6jjH2cFDG2NubtgxYGWeARp0bNLW8ruVDLr0Xi1lN2ZF_Fqt/s1600/images[11].jpg"><span style="COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"><img style="MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 124px; FLOAT: right; HEIGHT: 90px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5487357875937886946" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1eLj1gnUeNBeL_c4xjRF2hqrSZ1Q7YmSM4vBS8JIOl0_UR6kfwB4LMONF71irGccnQxb9MTJaj01JPtNjbqM9BO1CnJoH6jjH2cFDG2NubtgxYGWeARp0bNLW8ruVDLr0Xi1lN2ZF_Fqt/s320/images%5B11%5D.jpg" /></span></span></a><span style="COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"> ระบบการสื่อสารคมนาคม ที่ทำการรัฐบาล ห้างร้าน และตึกรามบ้านช่อง ตลอดจนเครื่องใช้อันทันสมัย อันมีเจ้านายและชนชั้นสูงเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ส่วนชาวบ้านสามัญชนเป็นผู้ตาม<br />นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงในขนบธรรมเนียมบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับการปกครองระบบใหม่ ทั้งนี้เพราะรัฐบาลต้องติดต่อกับชาติอื่น ๆ ทั่วโลก จึงต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไทยให้เป็นสากลและสอดคล้องกับความเป็นไปของโลก แต่ให้คงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยไว้ที่เด่นชัดในสมัยนั้นก็คือเรื่องการแต่งกายในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ( พ.ศ. 2481-2487 ) ได้มีบัญญัติเรียกว่า “ รัฐนิยม “ ซึ่งเป็นการปลุกระดมอย่างรุนแรง ซึ่งแสดงนโยบายของประเทศว่าต้องการให้ประชาชนคนไทยรักหวงแหนและภูมิใจในความเป็นไทย เช่น ให้ข้าราชการแต่งเครื่องแบบตามที่กำหนด ห้ามสวมกางเกงแพร ให้ทักทายกันด้วยคำว่า “ สวัสดี “ ห้ามกินหมาก ให้สวมหมวกทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ใช้คำขวัญปลุกใจทุกเช้าก่อนเรียน การยกเลิกบรรดาศักดิ์โดยให้ใช้เพียงชื่อ สกุล เหมือนคนทั่วไป การเคารพธงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงมหรสพ ฯลฯ<br />สภาพสังคมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ทำให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตย ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญ คือ<br />· ประชาชนขึ้นมาเป็นเจ้าของประเทศและมีบทบาทในการปกครองประเทศด้วยกระบวนการกฎหมายรัฐธรรมนูญ<br />· ชนชั้นกลาง พวกพ่อค้า ปัญญาชน ขึ้นมามีบทบาทในสังคมแต่ผู้กุมอำนาจยังคงได้แก่ทหารและข้าราชการ<br />· นายทุนเติบโตจากการค้าและอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งมีอิทธิพลและบทบาทจนได้เปรียบในสังคม<br />· เกิดช่องว่างในสังคมทำให้ชาวไร่ ชาวนา และกรรมกรมีฐานะและชีวิตอยู่กับความยากจนและถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคม </span></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDMvjd4coMyYnAQeBH_0hhq3n2ij0Q7CFeBpn0JL9YR77IGLUjsXbhWaVqgb7J6cAMZxj7_r-uWBIWG5tmNzbx66B-AFja8fTH2u2KZFpo2DCqQ4al3Jj00VVkXhY3rbsA2v5NRaYAKAji/s1600/images[24].jpg"><span style="COLOR: #cccccc"><span style="color:#000000;"><img style="MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 126px; FLOAT: right; HEIGHT: 89px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5487358004982530754" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDMvjd4coMyYnAQeBH_0hhq3n2ij0Q7CFeBpn0JL9YR77IGLUjsXbhWaVqgb7J6cAMZxj7_r-uWBIWG5tmNzbx66B-AFja8fTH2u2KZFpo2DCqQ4al3Jj00VVkXhY3rbsA2v5NRaYAKAji/s320/images%5B24%5D.jpg" /></span></span></a></span><span style="color:#000000;"> </span></div></div></div></div></div>pukteema(ภัคธีมา)4-8http://www.blogger.com/profile/02787002158589068529noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1516883875336582743.post-22481925541739696352010-07-06T22:57:00.000-07:002010-08-02T08:30:57.271-07:00ศาลยุติธรรมไทย<span style=";font-family:arial;font-size:100%;" ><span style="color: rgb(102, 0, 0);">ศาลยุติธรรมไทย</span><br /><br /><br /></span><span style=";font-family:arial;font-size:100%;" ><p><img style="text-align: center; margin: 0px auto 10px; width: 194px; display: block; height: 250px;" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5487123509577649730" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhW0-uwlRLK_K8oCIOF82XsxNMF1yS99rZdGsUlkFzcDMO1nNaDVaxHOza9kKA2_1koKTL1cfaLUXbudPKuxxDXX340eY_piiCUXTIz4XXjF3KN2a-4mUInvIaJM9VuUmpnWXda8PjHlMwJ/s320/logo(1).gif" border="0" /><br /></p><span style="color: rgb(255, 102, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ศาลยุติธรรมของประเทศไทยประกอบด้วยศาลหลักคือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา<br /></span></span><p><span style="color: rgb(255, 0, 0);">ศาลชั้นต้น<br /></span></p><p><span style="color: rgb(0, 153, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ศาลชั้นต้น เป็นศาลที่มีเขตอำนาจทั่วไปทั้งทางแพ่งและอาญาอย่างน้อยจังหวัดละ 1 ศาล ในศาลชั้นต้นผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะ มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอ หรือมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการเพื่อความปลอดภัย หรือมีคำสั่งในคดีอาญา หรือพิจารณาคดีแพ่งซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท หรือพิจารณาพิพากษาคดีอาญาซึ่งมีโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน หกหมื่นบาท แต่จะลงโทษจำคุกเกิน 6 เดือนหรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาทไม่ได้ ส่วนในกรณีอื่นๆการพิจารณาคดีจะต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย 2 คนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษา<br /><br />ประจำศาลเกินหนึ่งคน จึงจะเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรืออาญาทั้งปวง ศาลจังหวัด จังหวัดนครศรีธรรมราช มีศาลจังหวัด 3 ศาล คือ ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ศาลจังหวัดปากพนัง ศาลจังหวัดทุ่งสง ศาลแขวง เป็นศาลระดับล่าง มีผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจทำได้ตามที่กำหนดไว้ใน พระธรรมนูญศาลยุติธรรม กล่าวคือ มีอำนาจพิจารณาพิพากษาความผิดเล็กๆน้อยๆทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา เช่นคดีเกี่ยวกับการพนัน โสเภณี หรือคดีอาญาที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือคดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน สามแสนบาท หรือมีอำนาจออกหมายเรียก (ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งมาศาลเพื่อพิจารณาพิพากษาคดี)หมายอาญา ซึ่งเป็นหนังสือบงการให้เจ้าหน้าที่ทำ การตรวจค้น จับ ขัง จำคุก หรือปล่อยตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยหรือนักโทษ หรือ ตามหมายสั่งให้คนมาจากหรือไปยังจังหวัดอื่น หรืออกคำสั่งใดๆ ซึ่งมิใช่เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี<br /></span><br /><span style="color: rgb(255, 0, 0);">ศาลอุทธรณ์</span><br /></span><br /><span style="color: rgb(153, 51, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ศาลอุทธรณ์ (ม.21) เป็นศาลชั้นกลางที่ตั้งขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้คู่ความที่ไม่พอใจในคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้น ได้มีสิทธิที่จะขอให้ศาลลำดับที่สูงกว่าซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาที่มีความรู้และประสบการณ์มากกว่าได้ ทำการพิจารณาพิพากษาอีกครั้งหนึ่ง อันเป็นการให้หลักประกันความยุติธรรมแก่ประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย “สามคน”จึงจะเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ คดีอุทธรณ์นี้อาจจะเป็น “คดีลหุโทษหรือคดีอุกฉกรรจ์ หรือคดีแพ่งโดยไม่จำกัดจำนวนทุนทรัพย์ว่าจะมากหรือน้อยเพียงใด”<br /><br /></span></span><span style="color: rgb(255, 0, 0);">ศาลฎีกา<br /></span><br /><span style="color: rgb(153, 153, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ศาลฎีกา เป็นศาลชั้นสูงสุด ม.23 บัญญัติให้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค และคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยตรงต่อศาลฎีกา </span></span></p></span><div><span style="font-size:100%;"><br /><img style="text-align: center; margin: 0px auto 10px; width: 312px; display: block; height: 254px;" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5487123738063926386" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXM6sl5uLnjytEeKyYhR__9hmJuLj7XY3ZPmG5D12t1HDjsMeFtLBJFDFhPXI9cTNrgaOQXGAIBHGR6PuJxF87629GYwN9t-hUPuMv3SE7cILobjg76oIFhQLPgTE2P72Tx-feZQ0aMVYu/s320/Tulakran02.jpg" border="0" /></span><span style="font-size:100%;"><br /><br /><br /></span><div><span style=";font-family:arial;font-size:100%;" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(153, 153, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ตามบัญญัติแห่งกหมายว่าด้วยการอุทธรณ์หรือฎีกา และคดีที่กฏมายอื่นบัญญัติให้ศาลฎีกามีอำนาจ พิจารณาพิพากษา รวมทั้งมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดหรือสั่งคำร้องคำขอที่ยื่นต่อศาลฎีกาตามกฎหมาย คดีที่ศาลฎีกาได้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งแล้ว คู่ความไม่มีสิทธิ์ที่จะทูลเกล้า ถวายฎีกาคัดค้านคดีนั้นต่อไป หมายเหตุ บางเรื่องกฏมายห้ามฎีกา เช่น<br />- ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 บัญญัติห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงถ้าในคดีนั้นมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกัน<br />ในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท<br />- ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 บัญญัติ ห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงถ้าคดีนั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี หรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี<br />- ห้ามโจทย์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงถ้าในคดีนั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี ไม่ว่าจะมีโทษอย่างอื่นด้วยหรือไม่ก็ตามเช่นเดียวกับมาตรา 219 ที่บัญญัติห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงถ้าในคดีนั้นศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย ไม่เกินกำหนดที่ว่ามานี้ ทั้งนี้ภายใต้ข้อยกเว้นบางประการ ส่วนข้อกฏหมายนั้นคู่ความฎีกาได้เสมอ ศาลชำนัญพิเศษอื่น (ศาลเยาวชนและครอบครัว)วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสิทธิของเด็กและเยาวชน รวมทั้งช่วยเหลือและคุ้มครองสถานภาพของการสมรส สามี ภรรยา และ บุตร แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ<br /></span></span><br /></span><span style="color: rgb(51, 153, 153);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">- ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ<br />- ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด มีอยู่ 8 จังหวัดคือ สงขลา-นครราชสีมา-เชียงใหม่-อุบลฯ-<br />ระยอง-สุราษฎร์ฯ-นครสวรรค์ และ ขอนแก่น<br />- จะต้องมีผู้พิพากษาไม่น้อยกว่า 2 คนและผู้พิพากษาสมทบอีก 2 คน ซึ่งอย่างน้อยคนหนึ่งต้องเป็นสตรี จึงจะเป็นองค์คณะพิจารณาคดีได้<br />- มีสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนคู่กันไปทุกศาล<br />- เด็กหมายถึง บุคลอายุเกิน 7 ปีแต่ไม่เกิน 14 ปี<br />- เยาวชนหมายถึงบุคคลอายุ 14 ปีแต่ไม่เกิน 18 ปี<br /></span></span></span></div><span style="font-size:100%;"><img style="text-align: center; margin: 0px auto 10px; width: 319px; display: block; height: 273px;" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5487124118259054850" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgUJjoFRu31P1eY46Yiqv3sRwsR3M4jamGlaYw5pJ8GnxcYd7knuco9_9VvwbE-KvZvai5AjndDFwKu8-DgSXXDMwl8x2CQ9siF1-EEQCdfMGmiHmS-9Bs7C_5sfZldjaMIUDHzqow01lPo/s320/tortClaim_lg.jpg" border="0" /><br /></span><span style="color: rgb(153, 51, 153);font-size:100%;" >ศาลแรงงาน<br /><br />ศาลแรงงาน มี 3 ประเภท คือ<br /><br /><span style="color: rgb(0, 0, 0);">1.ศาลแรงงานกลาง<br />2.ศาลแรงงานภาค<br />3.ศาลแรงงานจังหวัด<br />“ในกรณีที่คู่ความไม่พอใจคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแรงงานก็มีสิทธิอุทธรณ์เฉพาะในปัญหา ข้อกฏหมายไปยังศาลฎีกาได้”<br /></span><br /></span><span style="color: rgb(102, 51, 51);font-size:100%;" >ศาลภาษีอากร<br /><br /><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ศาลภาษีอากร มี 2 ประเภท คือ ศาลภาษีอากรกลาง และศาลภาษีอากรจังหวัด ศาลทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศ มี 2 ประเภทคือ<br /><br />1.ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและ<br />2.การค้าระหว่างประเทศกลาง และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศภาค<br />ศาลล้มละลาย</span><br /></span></div><div><span style=";font-family:arial;font-size:130%;" ><span style="font-size:100%;"><span style="color: rgb(153, 153, 255);">ศาลล้มละลาย<br /><span style="color: rgb(0, 0, 0);">มี 2 ประเภท คือ ศาลล้มละลายกลางและศาลล้มละลายภาค ศาลปกครอง เป็นองค์กรอิสระ<br />ขึ้นตรงต่อประธานศาลปกครองสูงสุด<br />- พ.ศ.2535 นายชวน หลีกภัย ได้กำหนดนโยบายให้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้น<br />- นายบรรหาร ศิลปะอาชา ให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายจัดตั้งศาลปกครอง<br />- พลเอก เชาวลิต ยงใจยุทธ ร่าง พรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง<br />ออกมาบังคับใช้ได้เป็นผลสำเร็จ<br />- ศาลปกครอง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่มีข้อพิพาททางกฎหมายปกครองระหว่างเอกชนกับหน่วย<br />งานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือระหว่างเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐด้วยกัน<br />- ศาลปกครองกำหนดโครงสร้างไว้เพียง 2 ชั้นคือ ศาลปกครองชั้นต้น และศาลปกครองสูงสุด<br />ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรอิสระ ขึ้นตรงต่อประธานศาลรัฐธรรมนูญ<br />- เริ่มก่อตั้งภายหลังการปฏิวัติ พ.ศ.2475<br />- บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดๆมีข้อความขัดแย้งหรือขัดแก่รัฐธรรมนูญ ท่านว่าบทบัญญัตินั้นเป็น โมฆะ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ตั้งขึ้นเนื่องจากเกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายตุลาการในคดีอาชญากรสงคราม<br />ช่วงที่นายทวี บุญยเกตุ เป็นรัฐบาล เพื่อเอาผิดกับบุคคลสำคัญในคณะรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่นำประเทศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2</span></span></span><span style="font-size:100%;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span><br /></span></span></div>pukteema(ภัคธีมา)4-8http://www.blogger.com/profile/02787002158589068529noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1516883875336582743.post-67067141909969722742010-07-03T08:37:00.000-07:002010-08-02T08:51:50.952-07:00รัฐสภาไทย<p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><br /></p><p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><img alt="http://www.spo.moph.go.th/ict/job/crut.gif" src="http://www.spo.moph.go.th/ict/job/crut.gif" /></p><p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><br /></p><p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><br /></p><p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"> <span style="color: rgb(153, 0, 0);">รัฐสภาไทย</span> ในประเทศไทย รัฐสภา เป็นสถาบันที่พระมหากษัตริย์พระราชทานอำนาจให้เป็นผู้ออกกฎหมาย สำหรับการปกครองและการบริหารประเทศ ซึ่งเรียกว่า อำนาจนิติบัญญัติ รัฐสภาจะประกอบด้วยสภาเดียวหรือสองสภา ย่อมแล้วแต่บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติให้รัฐสภาประกอบด้วยวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะประชุมร่วมกันหรือแยกกันตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ โดยมีประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภาเป็นรองประธานรัฐสภาโดยตำแหน่ง </p><p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"> รัฐสภาของประเทศไทยกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เมื่อผู้แทนราษฎรจำนวน 70 คนซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ได้เปิดประชุมสภาขึ้นเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และเมื่อการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรทั่วประเทศได้สำเร็จลง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้พระราชทานพระที่นั่งอนันตสมาคมองค์ นี้แก่ผู้แทนราษฎรเพื่อใช้เป็นที่ประชุมสืบต่อมา </p><p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"> ต่อมาเมื่อจำนวนสมาชิกรัฐสภาต้องเพิ่มมากขึ้นตามอัตราส่วน ของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น จึงเกิดความจำเป็นที่จะต้องจัดสร้างอาคารรัฐสภาที่มีขนาดใหญ่กว่า เพื่อให้มีที่ประชุมเพียงพอกับจำนวนสมาชิก และมีที่ให้ข้าราชการสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาใช้เป็นที่ทำงาน จึงได้มีการวางแผนการจัดสร้างอาคารรัฐสภาขึ้นใหม่ถึง 4 ครั้งด้วยกัน แต่ก็ต้องระงับไปถึง 3 ครั้ง เพราะคณะรัฐมนตรีผู้ดำริต้องพ้นจากตำแหน่งไปเสียก่อน </p><p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"> ในครั้งที่ 4 แผนการจัดสร้างรัฐสภาใหม่ได้ประสบผลสำเร็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงยืนยันพระราชประสงค์เดิมที่จะให้ใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมและบริเวณ เป็นที่ทำการของรัฐสภาต่อไป และยังได้ทรงพระราชทานที่ดินบริเวณทิศเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม ให้เป็นที่จัดสร้างสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาขึ้นใหม่ด้วย </p><p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"> สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 โดยมีกำหนดสร้างเสร็จภายใน 850 วัน ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 51,027,360 บาท ประกอบด้วยอาคารหลัก 3 หลัง คือ </p> <ul style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><li>หลังที่ 1 เป็นตึก 3 ชั้นใช้เป็นที่ประชุมวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร และการประชุมร่วมกันของสภาทั้งสอง ส่วนอื่นๆ เป็นที่ทำการของสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา ประธาน และรองประธานของสภาทั้งสอง </li></ul> <ul style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><li>หลังที่ 2 เป็นตึก 7 ชั้น ใช้เป็นสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาและโรงพิมพ์รัฐสภา </li></ul> <ul style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><li>หลังที่ 3 เป็นตึก 2 ชั้นใช้เป็นสโมสรรัฐสภา </li></ul> <p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"> สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา ใช้ในการประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2517 สำหรับพระที่นั่งอนันตสมาคม ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และใช้เป็นที่รับรองอาคันตุกะบุคคลสำคัญ ใช้เป็นสถานที่ประกอบรัฐพิธีเปิดสมัยประชุม รัฐพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ และมีโครงการใช้ชั้นล่างของพระที่นั่งเป็นจัดสร้างพิพิธภัณฑ์รัฐสภา </p><p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><br />ห้องประชุมรัฐสภา เริ่มใช้ประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2517 ประชุม 3 อย่าง คือ </p> <dl style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><dd>1. การประชุมวุฒิสภา </dd></dl> <dl style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><dd>2. การประชุมสภาผู้แทนราษฎร </dd></dl> <dl style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><dd>3. การประชุมร่วมกันของรัฐสภา (วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร) </dd></dl> <center style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2.GIF" class="image" title="ภาพ:รัฐสภา.GIF"><img alt="ภาพ:รัฐสภา.GIF" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2.GIF" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2.GIF" width="490" height="333" /></a></center> <p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;">ที่นั่งสำคัญ ๆ </p> <dl style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><dd>ประธาน : ที่นั่งตรงกลาง </dd></dl> <dl style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><dd>รองประธานคนที่ 1 : ที่นั่งขวามือของประธาน </dd></dl> <dl style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><dd>รองประธานคนที่ 2 : ที่นั่งซ้ายมือของประธาน </dd></dl> <dl style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><dd>นายกรัฐมนตรี : ที่นั่งแรกของแถวบนขวามือของประธาน </dd></dl> <dl style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><dd>คณะรัฐมนตรี : ที่นั่ง 2 แถวขวามือของประธานถัดจากนายกรัฐมนตรี </dd></dl> <dl style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><dd>คณะกรรมาธิการ : ที่นั่ง 2 แถวซ้ายมือของประธาน </dd></dl> <dl style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><dd>เลขาธิการและรองเลขาธิการ : ที่นั่งถัดจากประธานลงมาในชั้นที่ 2 </dd></dl> <p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;">ที่นั่งของสมาชิก </p> <dl style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><dd>การจัดที่นั่งในการประชุม </dd></dl> <p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"> - การประชุมวุฒิสภา สมาชิกจะนั่งเรียงตามลักษณะชื่อที่จัดไว้แล้ว </p><p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"> - การประชุมสภาผู้แทนราษฎร พรรคร่วมรัฐบาลนั่งซีกขวามือของประธาน พรรคฝ่ายค้านที่นั่งซีกซ้ายมือของ ประธาน </p><p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"> - การประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมาชิกวุฒิสภานั่งซีกขวามือของประธาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นั่งซีกซ้าย มือของประธาน </p> <dl style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><dd>ที่นั่งของประชาชนที่นั่งการประชุม </dd></dl> <p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"> - ในวันที่มีการประชุมสภา ประชาชนทั่วไป นักเรียน นิสิต นักศึกษา สามารถขออนุญาตและเข้าฟังการประชุมสภา โดยจัดให้นั่งที่ชั้นลอยด้านหลัง มีจำนวนทั้งหมด 145 ที่นั่ง </p> <dl style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"><dd>ที่นั่งของสื่อมวลชน </dd></dl> <p style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial;"> - บนชั้นลอยด้านซ้ายมือของประชาชน อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้ามาทำข่าวฉบับ / แห่งละ 2 คน (ข่าวภาพ 1 คน ผู้สื่อข่าว 1 คน) </p>pukteema(ภัคธีมา)4-8http://www.blogger.com/profile/02787002158589068529noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1516883875336582743.post-39591931475317375312010-07-03T08:17:00.000-07:002010-07-03T08:22:01.594-07:00กบฎร.ศ 130<p class="root"><span style="font-size:100%;"><strong>กบฏ ร.ศ. 130</strong> หรือ <strong>กบฏเก็กเหม็ง</strong> หรือ <strong>กบฏน้ำลาย</strong> เกิดขึ้นในปี <a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2455">พ.ศ. 2455</a> (ร.ศ. 130) ก่อน<a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2475">การ ปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475</a> สองทศวรรษในสมัย<a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_6">รัชกาล ที่ 6</a> เมื่อนายทหารและปัญญาชนกลุ่มหนึ่ง วางแผนปฏิบัติการโดยหมายให้พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทาน<a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%8D">รัฐ ธรรมนูญ</a>ให้ และเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่<a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2">ระบอบ ประชาธิปไตย</a> แต่แผนการแตกเสียก่อน จึงมีการจับกุมผู้คิดก่อการหลายคนไว้ได้ 91 คน คณะตุลาการ<a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3">ศาล ทหาร</a>มีการพิจารณาตัดสินลงโทษให้จำคุกและประหารชีวิต โดยให้ประหารชีวิตหัวหน้าผู้ก่อการจำนวน 3 คน คือ ร.อ.<a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%87_%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C">เห ล็ง ศรีจันทร์</a> ร.ท.<a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%8D_%E0%B8%93_%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87">จรูญ ณ บางช้าง</a> และ ร.ต.<a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%AD_%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%8C">เจือ ศิลาอาสน์</a> ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต 20 คน จำคุกยี่สิบปี 32 คน จำคุกสิบห้าปี 6 คน จำคุกสิบสองปี 30 คน <sup>[1]</sup> แต่<a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8E%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7">พระ บาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว</a>ได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย และได้มีพระบรมราชโองการ<a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9">พระ ราชทานอภัยโทษ</a> ละเว้นโทษประหารชีวิต ด้วยทรงเห็นว่า ทรงไม่มีจิตพยาบาทต่อผู้คิดประทุษร้ายแก่พระองค์</span></p> <div class="pic_root"><span style="font-size:100%;"><a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:130_02.jpg" class="image" id="_href" name="_href"><img src="http://wapedia.mobi/thumb/6ae814793/th/fixed/470/342/130_02.jpg?format=jpg" width="470" height="342" /></a></span> <div class="pic_text"><span style="font-size:100%;"><br />คณะกบฏ ร.ศ. 130</span></div> </div> <p class="root"><span style="font-size:100%;">คณะผู้ก่อการได้รวมตัวกันเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2455 ประกอบด้วยผู้ร่วมคณะเริ่มแรกจำนวน 7 คน คือ <sup>[2]</sup></span></p> <ul><li><span style="font-size:100%;">ร.อ.<a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C">ขุน ทวยหาญพิทักษ์</a> (หมอเหล็ง ศรีจันทร์) เป็นหัวหน้า</span></li><li><span style="font-size:100%;">ร.ต.เหรียญ ศรีจันทร์ จาก กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์</span></li><li><span style="font-size:100%;">ร.ต.จรูญ ษตะเมษ จากกองปืนกล รักษาพระองค์</span></li><li><span style="font-size:100%;">ร.ต.เนตร์ พูนวิวัฒน์ จาก กองปืนกล รักษาพระองค์</span></li><li><span style="font-size:100%;">ร.ต.ปลั่ง บูรณโชติ จาก กองปืนกล รักษาพระองค์</span></li><li><span style="font-size:100%;">ร.ต.หม่อมราชวงศ์แช่ รัชนิกร จาก โรงเรียนนายสิบ</span></li><li><span style="font-size:100%;">ร.ต.เขียน อุทัยกุล จาก โรงเรียนนายสิบ</span></li></ul> <p class="root"><span style="font-size:100%;">คณะผู้ก่อการวางแผนจะก่อการในวันที่ <a href="http://wapedia.mobi/th/1_%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99">1 เมษายน</a> ซึ่งเป็นวันพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และวันขึ้นปีใหม่ ผู้ที่จับฉลากว่าต้องเป็นคนลงมือลอบปลงพระชนม์ คือ ร.อ.<a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98_%E0%B8%84%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88">ยุทธ คงอยู่</a> (หลวงสินาด โยธารักษ์) เกิดเกรงกลัวความผิด จึงนำความไปแจ้งหม่อมเจ้าพันธุ์ประวัติ ผู้บังคับการกรมทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ และพากันนำความไปแจ้ง <a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A9%E0%B9%8C%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%96_%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%96"> สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ</a></span></p> <p class="root"><span style="font-size:100%;">ความทราบไปถึง<a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8E%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7">พระ บาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว</a> ที่ประทับอยู่ที่<a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C">พระราชวัง สนามจันทร์</a> <a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1"> จังหวัดนครปฐม</a> คณะทั้งหมดจึงถูกจับกุมเมื่อวันที่ <a href="http://wapedia.mobi/th/27_%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C"> 27 กุมภาพันธ์</a> ถูกส่งตัวไปคุมขังที่คุกกองมหันตโทษ ที่สร้างขึ้นใหม่ และได้รับพระราชทานอภัยโทษในพระราชพิธีฉัตรมงคล เดือนพฤศจิกายน <a href="http://wapedia.mobi/th/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2467">พ.ศ. 2467</a> ครบรอบปีที่ 15 ของการครองราชย์</span></p>pukteema(ภัคธีมา)4-8http://www.blogger.com/profile/02787002158589068529noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1516883875336582743.post-41295250375833752372010-07-02T01:16:00.000-07:002010-08-02T08:32:22.774-07:00<div></div><div class="Post-cr"><div></div></div><div class="Post-cc"></div><div class="Post-body"><div class="Post-inner"><h2 class="PostHeaderIcon-wrapper"><span class="PostHeader"></span> </h2><h2 class="PostHeaderIcon-wrapper"><span class="PostHeader"></span> </h2><h2 class="PostHeaderIcon-wrapper" align="center"><span class="PostHeader" style="font-size:100%;"><img src="http://www.prathomsatit.msu.ac.th/LearnSquare/courses/1/topics/kingramaV/kingramaV_01.png" /></span></h2><h2 class="PostHeaderIcon-wrapper" align="center"><span class="PostHeader" style="font-size:100%;"></span> </h2><h2 class="PostHeaderIcon-wrapper" align="center"><span class="PostHeader" style="font-size:100%;"><a title="การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5" href="http://thaigoodview.com/node/31035">การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5</a></span><span style="font-size:100%;"></span></h2><h2 class="PostHeaderIcon-wrapper"><span style="font-size:100%;"></span> </h2><h2 class="PostHeaderIcon-wrapper"><span style="font-size:100%;">1.<strong>การจัดตั้งสภาที่ปรึกษา</strong> เพื่อให้ขุนนาง ข้าราชการ ได้คุ้นเคยกับการปกครองในรูปแบบใหม่ ทำให้ขุนนาง ข้าราชการได้รู้จักการแสดงความคิดเห็น รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้มี 2 สภา คือ </span></h2><div class="PostContent"><div class="article"><p><span style="font-size:100%;"> 1)สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ทำหน้าที่ประชุมปรึกษาในเรื่องราชการแผ่นดิน การออกกฎหมายต่างๆ </span></p><p><span style="font-size:100%;"> 2)สภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาส่วนพระองค์เกี่ยวกับราชการต่างๆ </span></p><p><span style="font-size:100%;">2.<strong>การปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง </strong>ใน พ.ศ.2430 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการเสด็จกลับจากดูงานการปกครองในประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ได้ทรงทำบันทึกเสนอต่อรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงพิจารณาที่จะให้มีการปฏิรูปการปกครอง จึงได้ทรงจัดตั้งกรมขึ้นใหม่ 6 กรม เมื่อรวมกับที่มีอยู่แล้ว 6 กรม เป็น 12 กรม คือ </span></p><p><span style="font-size:100%;"> 1)กรมมหาดไทย 2)กรมพระกลาโหม 3)กรทท่า 4)กรมวัง 5)กรมเมือง 6)กรมนา 7)กรมพระคลัง 8)กรมยุติธรรม </span></p><p><span style="font-size:100%;"> 9)กรมยุทธนาธิการ 10)กรมธรรมการ 11)กรมโยธาธิการ 12)กรมมุรธาธิการ </span></p><p><span style="font-size:100%;"> ใน พ.ศ.2435 กรมเหล่านี้ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวง และโปรดฯ ให้ยกเลิกการปกครองระบบจตุสดมภ์ และใน พ.ศ.2437 ได้มีพระราชบัญญัติแยกอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมและมหาดไทยออกจากกัน </span></p><p><span style="font-size:100%;">3.การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค มีการปกครองตามระบบเทศาภิบาล ซึ่งได้ระบุไว้ใน ประกาศจัดปันหน้าที่ระหว่างกระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทย ร.ศ.113 โดยรวมหัวเมืองหลายเมืองเข้าเป็น 1 มณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้บังคับบัญชาการมณฑลละ 1 คน ซึ่งต้องขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย การเปลี่ยนระบบการปกครองหัวเมืองเป็นระบบเทศาภิบาลไม่ได้ดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะว่ารัฐบาลประสบปัญหาหลายอย่าง เช่น การขาดบุคลากรในการปฏิบัติงาน รัฐบาลกลางขาดงบประมาณทำให้รัฐบาลต้องเร่งรัดภาษี </span></p><p><span style="font-size:100%;">4.<strong>การปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่น </strong>ซึ่งต้องการให้ราษฎรมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาล สุขาภิบาลหัวเมืองแห่งแรกคือสุขาภิบาลตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุครสาคร ตั้งขึ้นใน พ.ศ.2448 </span></p></div></div></div></div>pukteema(ภัคธีมา)4-8http://www.blogger.com/profile/02787002158589068529noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1516883875336582743.post-51420443069317057992010-07-02T01:04:00.001-07:002010-07-02T01:14:36.846-07:00วันวิสาขบูชา<p><span style="font-size:180%;"><b></b></span> </p><p><span style="font-size:180%;"><b></b></span> </p><p align="center"><span style="font-size:180%;"><b><img src="http://www.culture.nstru.ac.th/th/wp-content/uploads/2009/05/visaka.jpg" /></b></span></p><p><span style="font-size:180%;"><b> วันวิสาขบูชา</b> หรือ <b>วิศ</b></span><span style="font-size:180%;"><b>าขบูชา</b></span> (<a title="ภาษาบาลี" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B5"><span style="color:#0645ad;">บาลี</span></a>: <span lang="pi" lang="pi"><i>วิสาขปูชา</i></span>; <a title="ภาษาอังกฤษ" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9"><span style="color:#0645ad;">อังกฤษ</span></a>: <span lang="en" lang="en"><i>Vesak</i></span>) เป็น "<a class="mw-redirect" title="วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2"><span style="color:#0645ad;">วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา</span></a>สากล" ของชาวพุทธทุก<a title="นิกาย" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2"><span style="color:#0645ad;">นิกาย</span></a>ทั่ว<a title="โลก" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81"><span style="color:#0645ad;">โลก</span></a>, วันหยุดราชการ ในหลาย<a title="ประเทศ" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8"><span style="color:#0645ad;">ประเทศ</span></a> และ วันสำคัญของโลก ตามมติเอกฉันท์ของ<a class="mw-redirect" title="องค์การสหประชาชาติ" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4"><span style="color:#0645ad;">ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ</span></a><sup id="cite_ref-UN_fifty-fourth_0-0" class="reference"><a href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=1516883875336582743#cite_note-UN_fifty-fourth-0"><span style="font-size:85%;color:#0645ad;">[1]</span></a></sup> เพราะเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดใน<a title="พระพุทธศาสนา" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2"><span style="color:#0645ad;">พระพุทธศาสนา</span></a> 3 เหตุการณ์ด้วยกัน คือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ, <a title="ตรัสรู้" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89"><span style="color:#0645ad;">ตรัสรู้</span></a> และ<a title="ปรินิพพาน" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99"><span style="color:#0645ad;">ปรินิพพาน</span></a> แห่งองค์<a class="mw-redirect" title="สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2"><span style="color:#0645ad;">สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า</span></a> โดยทั้งสามเหตุการณ์นั้นได้เกิดตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือใน<a class="mw-redirect" title="วันเพ็ญ" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B9%87%E0%B8%8D"><span style="color:#0645ad;">วันเพ็ญ</span></a>แห่งเดือนวิสาขมาส (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่รวมเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ยิ่ง จึงเรียกการบูชาในวันนี้ว่า "วิสาขบูชา" ย่อมาจาก"วิสาขปูรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" อันเป็นเดือนที่สองตาม<a title="ปฏิทิน" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%99"><span style="color:#0645ad;">ปฏิทิน</span></a>ของอินเดีย ซึ่งตรงกับ<a class="mw-redirect" title="วันเพ็ญ" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B9%87%E0%B8%8D"><span style="color:#0645ad;">วันเพ็ญ</span></a>เดือน 6 ตาม<a class="mw-redirect" title="ปฏิทินจันทรคติของไทย" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2"><span style="color:#0645ad;">ปฏิทินจันทรคติของไทย</span></a> ซึ่งมักจะตรงกับเดือน<a title="พฤษภาคม" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1"><span style="color:#0645ad;">พฤษภาคม</span></a> หรือ<a title="มิถุนายน" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99"><span style="color:#0645ad;">มิถุนายน</span></a> โดยใน<a title="ประเทศไทย" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2"><span style="color:#0645ad;">ประเทศไทย</span></a> ถ้าในปีใดมีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 7 หลัง ตาม<a title="ปฏิทินจันทรคติ" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B4"><span style="color:#0645ad;">ปฏิทินจันทรคติ</span></a>ของไทย ซึ่งประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทอื่นที่ไม่ได้ถือคติตามปฏิทินจันทรคติของไทย จะจัดพิธีวิสาขบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 แม้ในปีนั้นจะมีเดือน 8 สองหนตามปฏิทินจันทรคติไทยก็ตาม<sup id="cite_ref-1" class="reference"><a href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=1516883875336582743#cite_note-1"><span style="font-size:85%;color:#0645ad;">[2]</span></a></sup> และในกลุ่มชาวพุทธ<a title="มหายาน" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99"><span style="color:#0645ad;">มหายาน</span></a>บางนิกาย ที่นับถือว่าเหตุการณ์ทั้ง 3 นั้น เกิดในวันต่างกันไป จะมีการจัดพิธีวิสาขบูชาต่างวันกันตามความเชื่อในนิกายของตน ๆ ซึ่งจะไม่ตรงกับวันวิสาขบูชาตามปฏิทินของชาวพุทธเถรวาท <sup id="cite_ref-2" class="reference"><a href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=1516883875336582743#cite_note-2"><span style="font-size:85%;color:#0645ad;">[3]</span></a></sup></p><p>วันวิสาขบูชานั้น ได้รับการยกย่องจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลกให้เป็น<a class="mw-redirect" title="รายการวันสำคัญทางพุทธศาสนา" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2"><span style="color:#0645ad;">วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล</span></a> เนื่องจากเป็นวันที่บังเกิดเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าและจุดเริ่มต้นของศาสนาพุทธ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดได้เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน ณ ดินแดนที่เรียกว่า<a title="ชมพูทวีป" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%9B"><span style="color:#0645ad;">ชมพูทวีป</span></a>ในสมัย<a title="พุทธกาล" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5"><span style="color:#0645ad;">พุทธกาล</span></a> โดยเหตุการณ์แรก เมื่อ 80 ปี ก่อน<a title="พุทธศักราช" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A"><span style="color:#0645ad;">พุทธศักราช</span></a> เป็น "วันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ" ณ ใต้ร่มสาละพฤกษ์ ใน<a class="mw-redirect" title="พระราชอุทยานลุมพินีวัน" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99"><span style="color:#0645ad;">พระราชอุทยานลุมพินีวัน</span></a> (อยู่ในเขต<a title="ประเทศเนปาล" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%A5"><span style="color:#0645ad;">ประเทศเนปาล</span></a>ในปัจจุบัน) และเหตุการณ์ต่อมา เมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันที่เจ้าชายสิทธัตถะได้<a title="ตรัสรู้" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89"><span style="color:#0645ad;">บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า</span></a>" ณ <a title="พุทธคยา" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%B2"><span style="color:#0645ad;">ใต้ร่มโพธิ์พฤกษ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม</span></a> (อยู่ในเขต<a title="ประเทศอินเดีย" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2"><span style="color:#0645ad;">ประเทศอินเดีย</span></a>ในปัจจุบัน) และเหตุการณ์สุดท้าย เมื่อ 1 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันเสด็จดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มสาละพฤกษ์ ใน<a title="กุสินารา" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2"><span style="color:#0645ad;">สาลวโนทยาน พระราชอุทยานของเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา</span></a> (อยู่ในเขต<a title="ประเทศอินเดีย" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2"><span style="color:#0645ad;">ประเทศอินเดีย</span></a>ในปัจจุบัน) โดยเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเกิดตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 หรือเดือนวิสาขะนี้ทั้งสิ้น ชาวพุทธจึงนับถือว่าวันเพ็ญเดือน 6 นี้ เป็นวันที่รวมวันคล้ายวันเกิดเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของพระพุทธเจ้าไว้มากที่สุด และได้นิยมประกอบพิธีบำเพ็ญบุญกุศลและประกอบพิธีพุทธบูชาต่าง ๆ เพื่อเป็นการถวายสักการะรำลึกถึงแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบมาจนปัจจุบัน</p><p>วิสาขบูชา มีการนับถือปฏิบัติกันในหลายประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้ง<a title="มหายาน" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99"><span style="color:#0645ad;">มหายาน</span></a>และ<a title="เถรวาท" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97"><span style="color:#0645ad;">เถรวาท</span></a>ทุก<a title="นิกาย" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2"><span style="color:#0645ad;">นิกาย</span></a>มาช้านานแล้ว ในบางประเทศเรียกพิธีนี้ว่า "พุทธชยันตี" (Buddha Jayanti) เช่นใน <a class="mw-redirect" title="อินเดีย" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2"><span style="color:#0645ad;">อินเดีย</span></a> และ<a class="mw-redirect" title="ศรีลังกา" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2"><span style="color:#0645ad;">ศรีลังกา</span></a> ในปัจจุบันมีหลายประเทศที่ยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ เช่น <a title="ประเทศอินเดีย" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2"><span style="color:#0645ad;">ประเทศอินเดีย</span></a>, <a title="ประเทศไทย" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2"><span style="color:#0645ad;">ประเทศไทย</span></a>, <a title="ประเทศพม่า" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%B2"><span style="color:#0645ad;">ประเทศพม่า</span></a>, <a title="ประเทศศรีลังกา" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2"><span style="color:#0645ad;">ประเทศศรีลังกา</span></a>, <a class="mw-redirect" title="สิงคโปร์" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%8C"><span style="color:#0645ad;">สิงคโปร์</span></a> และ<a class="mw-redirect" title="อินโดนีเซีย" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2"><span style="color:#0645ad;">อินโดนีเซีย</span></a> เป็นต้น (ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรที่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมากที่สุด) ในฝ่ายของประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ได้รับคติการปฏิบัติบูชาในวันวิสาขบูชามาจากลังกา (ประเทศศรีลังกา) ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่ามีการจัดพิธีวิสาขบูชามาตั้งแต่<a class="mw-redirect" title="สมัยสุโขทัย" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A2"><span style="color:#0645ad;">สมัยสุโขทัย</span></a></p><p>วันวิสาขบูชา ถือได้ว่าเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เพราะชาวพุทธทุกนิกายจะพร้อมใจกันจัดพิธีพุทธบูชาในวันนี้พร้อมกันทั่วทั้งโลก<sup id="cite_ref-BBC_Buddhism_Schools_3-0" class="reference"><a href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=1516883875336582743#cite_note-BBC_Buddhism_Schools-3"><span style="font-size:85%;color:#0645ad;">[4]</span></a></sup> (ซึ่งไม่เหมือน<a title="วันมาฆบูชา" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%86%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2"><span style="color:#0645ad;">วันมาฆบูชา</span></a> และ<a title="วันอาสาฬหบูชา" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AC%E0%B8%AB%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2"><span style="color:#0645ad;">วันอาสาฬหบูชา</span></a> ที่เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่นิยมนับถือกันเฉพาะในประเทศไทย, ลาว, และกัมพูชา) และด้วยเหตุนี้ ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติจึงยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็น "วันสำคัญสากลนานาชาติ (International Day)" หรือ "วันสำคัญของโลก" ตามคำประกาศของ<a title="สหประชาชาติ" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4"><span style="color:#0645ad;">ที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ</span></a> ครั้งที่ 54 ลงวันที่ <a title="13 ธันวาคม" href="http://www.blogger.com/wiki/13_%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1"><span style="color:#0645ad;">13 ธันวาคม</span></a> <a title="พ.ศ. 2542" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2542"><span style="color:#0645ad;">พ.ศ. 2542</span></a></p><p>ปัจจุบัน ประเทศไทยได้ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น <a title="การตักบาตร" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3"><span style="color:#0645ad;">การตักบาตร</span></a> การฟังพระธรรมเทศนา <a title="การเวียนเทียน" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99"><span style="color:#0645ad;">การเวียนเทียน</span></a> เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึง<a class="mw-redirect" title="พระรัตนตรัย" href="http://www.blogger.com/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A2"><span style="color:#0645ad;">พระรัตนตรัย</span></a>และเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันคล้ายวันที่ "ประสูติ" ของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาได้ "ตรัสรู้" เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงกอปรไปด้วย "พระบริสุทธิคุณ", "พระปัญญาคุณ" ผู้ซึ่งได้ทรงสั่งสอนประกาศพระสัจธรรม คือความจริงของโลกแก่พหูชนทั้งปวงโดย "พระมหากรุณาธิคุณ" จวบจนทรง "เสด็จดับขันธปรินิพพาน" ในวาระสุดท้าย ซึ่งทั้งสามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องในวันเพ็ญเดือน 6 ทั้งสิ้นนี้ ทำให้พระพุทธศาสนาได้บังเกิดและสืบต่อมาอย่างมั่นคงจนถึงปัจจุบัน</p>pukteema(ภัคธีมา)4-8http://www.blogger.com/profile/02787002158589068529noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1516883875336582743.post-83737717948265261922010-07-02T01:04:00.000-07:002010-07-02T01:09:13.788-07:00การปกครองสมัยรัตนโกสินทร์<center><img src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/social02/01/2/1ymngs03/ratanagosin/rama1.jpg" /></center><br /><br /><span style="font-family:MS Sans Serif;font-size:-1;"><dd><img src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/social02/01/2/1ymngs03/thammanoo/pnl.gif" /><span style="color:green;">สภาพทางการเมืองในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น</span> ยังคงรูปแบบของระบบประชาธิปไตยอันเป็นระบบการปกครองที่สืบทอดมาช้านาน การเปลี่ยนแปลงภายในตัวระบบอยู่ที่การปรับบทบาทของสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันสูงสุดที่ทำหน้าที่ปกครองประเทศ รูปแบบของสถาบ้นกษัตริย์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คลายความเป็นเทวราชาลงเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็กลับเน้นคติและรูปแบบของธรรมราชาขึ้นแทนที่ อย่างไรก็ตาม อำนาจอันล้นพ้นของพระมหากษัตริย์ก็มีอยู่แต่ในทางทฤษฎี เพราะในทางปฏิบัติ พระราชอำนาจของพระองค์กลับถูกจำกัดลงด้วยคติธรรมในการปกครอง ซึ่งอิงหลักธรรมของพุทธศาสนา คือ ทศพิธราชธรรม กับอีกประการหนึ่ง คือ การถูกแบ่งพระราชอำนาจตามการจัดระเบียบควบคุมในระบบไพร่ ซึ่งถือกันว่า พระมหากษัตริย์คือมูลนายสูงสุดที่อยู่เหนือมูลนายทั้งปวง แต่ในทางปฏิบัติพระองค์ก็มิอาจจะควบคุมดูแลไพร่พลเป็นจำนวนมากได้ทั่วถึง จึงต้องแบ่งพระราชอำนาจในการบังคับบัญชากำลังคนให้กับมูลนายในระดับรองๆ ลงมา ในลักษณะเช่นนั้น มูลนายที่ได้รับมอบหมายให้กำกับไพร่และบริหารราชการแผ่นดินต่างพระเนตรพระกรรณ จึงเป็นกลุ่มอำนาจมีอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกลุ่มใดจะมีอำนาจเหนือกลุ่มใดก็แล้วแต่สภาพแวดล้อมของสังคมในขณะนั้นเป็นสำคัญ<br /><span style="font-family:MS Sans Serif;font-size:-1;"><dd><img src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/social02/01/2/1ymngs03/thammanoo/pnl.gif" /><span style="color:green;">การปกครองและการบริหารประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น</span> กล่าวได้ว่า รูปแบบของการปกครอง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ยังคงยึดตามแบบฉบับที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงวางระเบียบไว้ จะมีการเปลี่ยนแปลงก็เพียงเล็กน้อย เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๑ โปรดฯ ให้คืนเขตการปกครองในหัวเมืองภาคใต้กลับให้สมุหกลาโหมตามเดิม ส่วนสมุหนายกให้ปกครองหัวเมืองทางเหนือ ส่วนพระคลังดูแลหัวเมืองชายทะเล ในด้านระบบการบริหาร ก็ยังคงมีอัครมหาเสนาบดี ๒ ฝ่าย คือ สมุหนายกเป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือน ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือ และสมุหกลาโหม เป็นหัวหน้าราชการฝ่ายทหาร ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ ตำแหน่งรองลงมาคือ เสนาบดีจตุสดมภ์ แบ่งตามชื่อกรมที่มีอยู่คือ เวียง วัง คลังและ นา ในบรรดาเสนาทั้ง ๔ กรมนี้ เสนาบดีกรมคลังจะมีบทบาทและภาระหน้าที่มากที่สุด คือนอกจากจะบริหารการคลังของประเทศแล้ว ยังมีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองชายทะเลตะวันออก เสนาบดีทั้งหลายมีอำนาจสั่งการภายในเขตความรับผิดชอบของตน รูปแบบที่ถือปฏิบัติก็คือ ส่งคำสั่งและรับรายงานจากเมืองในสังกัดของตน ถ้ามีเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น เสนาบดีเจ้าสังกัดจะเป็นแม่ทัพออกไปจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อย มีศาลของตัวเองและสิทธิในการเก็บภาษีอากรในดินแดนสังกัดของตน รวมทั้งดูแลการลักเลขทะเบียนกำลังคนในสังกัดด้วย<br /><span style="font-family:MS Sans Serif;font-size:-1;"><dd><img src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/social02/01/2/1ymngs03/thammanoo/pnl.gif" /><span style="color:green;">การบริหารในระดับต่ำลงมา</span> อาศัยรูปแบบการปกครองคนในระบบไพร่ คือ แบ่งฝ่ายงานออกเป็นกรมกองต่างๆ แต่ละกรมกอง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการควบคุมกำลังคนในสังกัดของตน โครงสร้างของแต่ละกรม ประกอบด้วยขุนนางข้าราชการอย่างน้อย ๓ ตำแหน่ง คือ เจ้ากรม ปลัดกรม และสมุห์บัญชี กรมมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก กรมใหญ่มักเป็นกรมสำคัญ เจ้ากรมมีบรรดาศักดิ์ถึงขนาดเจ้าพระยาหรือพระยา<br /><span style="font-family:MS Sans Serif;font-size:-1;"><dd><img src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/social02/01/2/1ymngs03/thammanoo/pnl.gif" /><span style="color:green;">กรมของเจ้านายที่มีความสำคัญมากที่สุด</span> ได้แก่ กรมของพระมหาอุปราช ซึ่งเรียกกันว่า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล กรมของพระองค์มีไพร่พลขึ้นสังกัดมาก กรมของเจ้านายมิได้ทำหน้าที่บริหารราชการโดยตรง ถือเป็นกรมที่ควบคุมกำลังคนเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้น การแต่งตั้งเจ้านายขึ้นทรงกรมจึงเป็นการให้ทั้งความสำคัญ เกียรติยศ และความมั่นคงเพราะไพร่พลในครอบครองเป็นเครื่องหมายแสดงถึงอำนาจและความมั่งคั่งของมูลนายผู้เป็นเจ้าของการบริหารราชการส่วนกลาง มีพระมหากษัตริย์เป็นมูลนายระดับสูงสุด เจ้านายกับขุนนางข้าราชการผู้บังคับบัญชากรมต่างๆ ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ฐานะเป็นมูลนายในระดับสูง ช่วยบริหารราชการ โดยมีนายหมวด นายกอง เป็นมูลนายระดับล่างอยู่ใต้บังคับบัญชา และทำหน้าที่ควบคุมไพร่อีกต่อหนึ่ง การสั่งราชการจะผ่านลำดับชั้นของมูลนายลงมาจนถึงไพร่<br /><span style="font-family:MS Sans Serif;font-size:-1;"><dd><img src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/social02/01/2/1ymngs03/thammanoo/pnl.gif" /><span style="color:green;">สำหรับการปกครองในส่วนภูมิภาคหรือการปกครองหัวเมือง</span> ขึ้นอยู่กับอัครมหาเสนาบดี ๒ ท่าน และเสนาบดีคลัง ดังได้กล่าวไว้ข้างต้น หัวเมืองแบ่งออกเป็นสองชั้นใหญ่ๆ ได้แก่ หัวเมืองชั้นในและหัวเมืองชั้นอก การแบ่งหัวเมืองยังมีอีกวิธีหนึ่ง โดยแบ่งออกเป็น ๔ ขั้น คือ เอก โท ตรี จัตวา ตามความสำคัญทางยุทธศาสตร์และราษฎร<br /><span style="font-family:MS Sans Serif;font-size:-1;"><dd><dd><img src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/social02/01/2/1ymngs03/thammanoo/anipen_yellow.gif" /><span style="color:red;">หัวเมืองชั้นใน </span>เป็นหน่วยปกครองที่อยู่ใกล้เมืองหลวง มีเจ้าเมืองหรือผู้รั้ง ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าปกครองดูแล<br /><span style="font-family:MS Sans Serif;font-size:-1;"><dd><dd><img src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/social02/01/2/1ymngs03/thammanoo/anipen_yellow.gif" /><span style="color:red;">หัวเมืองชั้นนอก </span>มีทั้งหัวเมืองใหญ่ หัวเมืองรอง และหัวเมืองชายแดน หัวเมืองเหล่านี้ อยู่ใต้การปกครองของเจ้าเมือง และข้าราชการในเมืองนั้นๆ<br /><span style="font-family:MS Sans Serif;font-size:-1;"><dd><img src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/social02/01/2/1ymngs03/thammanoo/pnl.gif" /><span style="color:green;">นโยบายที่ใช้ในการปกครองหัวเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น </span>มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อความกระชับยิ่งขึ้น กล่าวคือ รัชกาลที่ ๑ ได้ทรงออกพระราชกำหนดตัดทอนอำนาจเจ้าเมืองในการแต่งตั้งข้าราชการที่สำคัญๆ ทุกตำแหน่ง โดยโอนอำนาจการแต่งตั้งจากกรมเมืองในเมืองหลวง นับเป็นการขยายอำนาจของส่วนกลาง โดยอาศัยการสร้างความจงรักภักดีให้เกิดขึ้นกับเจ้านายทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งเจ้าเมือง และข้าราชการที่แต่งตั้งตนในส่วนกลาง ตำแหน่งต่างๆ เหล่านี้ต้องรายงานตัวต่อผู้ตั้งทุกปี ทั้งนี้เพื่อผลในการควบคุมไพร่พลและเกณฑ์ไพร่มาใช้ เพราะฉะนั้น มูลนายในเมืองหลวงจึงได้ควบคุมสัสดีต่างจังหวัดอย่างใกล้ชิด<br /><span style="font-family:MS Sans Serif;font-size:-1;"><dd><img src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/social02/01/2/1ymngs03/thammanoo/pnl.gif" /><span style="color:green;">ส่วนการปกครองในประเทศราช </span>เช่น ลาว เขมร มลายู นั้น ไทยใช้วิธีปกครองโดยทางอ้อม ส่วนใหญ่จะปลูกฝังความนิยมไทยลงในความรู้สึกของเจ้านายเมืองขึ้น โดยการนำเจ้านายจากประเทศราชมาอบรมเลี้ยงดูในฐานะพระราชบุตรบุญธรรมของพระมหากษัตริย์ในราชสำนักไทยหรือสนับสนุนให้มีการแต่งงานกันระหว่างเจ้านายทั้งสองฝ่าย และภายหลังก็ส่งเจ้านายพระองค์นั้นไปปกครองเมืองประเทศราช ด้วยวิธีนี้ จึงทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันกันขึ้นระหว่างกษัตริย์ไทยกับเจ้านายเมืองขึ้น การปกครอง หรือการขยายอำนาจอิทธิพลในอาณาจักรต่างๆ เหล่านี้ ฝ่ายไทยและประเทศราชไม่มีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ขึ้นกับอำนาจความมั่นคงของราชอาณาจักรไทย เพราะฉะนั้น ในช่วงใดที่ประเทศอ่อนแอ เมืองขึ้นก็อาจแข็งเมืองหรือหันไปหาแหล่งอำนาจใหม่ เพราะฉะนั้น เมื่ออำนาจตะวันออกแผ่อิทธิพลเข้ามาในดินแดนเอเซียอาคเนย์ ปัญหาเรื่องอิทธิพลในเขตแดนต่างๆ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเวลาทำความตกลงกัน<br /><br /><center><img src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/social02/01/2/1ymngs03/ratanagosin/king_51.jpg" /></center><br /><span style="font-family:MS Sans Serif;font-size:-1;"><dd><img src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/social02/01/2/1ymngs03/thammanoo/pnl.gif" /><span style="color:green;">ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ </span>ได้ทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินอย่างขนานใหญ่ ควบคู่ไปกับการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ก็เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป การปฏิรูปเศรษฐกิจ ก็ได้แก่ การปรับปรุงระบบบริหารงานคลังและภาษีอากร ส่วนการปฏิรูปสังคมก็ได้แก่ การเลิกทาส การปฏิรูปการศึกษา รวมทั้งการปรับปรุงการสื่อสาร และการคมนาคม เป็นต้น<br /><span style="font-family:MS Sans Serif;font-size:-1;"><dd><img src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/social02/01/2/1ymngs03/thammanoo/pnl.gif" /><span style="color:red;"><u><b>สำหรับมูลเหตุสำคัญที่ผลักดันให้มีการปฏิรูปการปกครอง </u></b></span>มีอยู่ ๒ ประการ คือ<br /><span style="font-family:MS Sans Serif;font-size:-1;"><dd><dd><img src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/social02/01/2/1ymngs03/thammanoo/anipen_yellow.gif" /><span style="color:red;"> ๑.มูลเหตุภายใน </span>ทรงพิจารณาเห็นว่าการปกครองแบบเดิมไม่เหมาะสมกับสภาพทางการปกครองและทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ประเทศไทยมีประชากรเพิ่มขึ้น การคมนมคมและการติดต่อสื่อสารเริ่มมีความทันสมัยมากขึ้น การปกครองแบบเดิมจะมีผลทำให้ประเทศชาติขาดเอกภาพในการปกครอง ขาดประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินและพัฒนาได้ยาก<br /><span style="font-family:MS Sans Serif;font-size:-1;"><dd><dd><img src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/social02/01/2/1ymngs03/thammanoo/anipen_yellow.gif" /><span style="color:red;"> ๒.มูลเหตุภายนอก </span>ทรงพิจารณาเห็นว่า หากไม่ทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินย่อมจะเป็นอันตรายต่อเอกราชของชาติ เพราะขณะนั้น จักวรรดินิยมตะวันตก ได้เข้ามาแสวงหาอาณานิคมในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนั้น แต่เดิมเราต้องยินยอมให้ประเทศตะวันตกหลายประเทศมีสิทธิภาพนอกอาณาเขตคือ สามารถตั้งศาลกงสุลขึ้นมาพิจารณาความคนในบังคับของตนได้ โดยไม่ต้องอยู่ใต้การบังคับของศาลไทย เพราะอ้างว่า ศาลไทยล้าสมัย<br /></dd></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span>pukteema(ภัคธีมา)4-8http://www.blogger.com/profile/02787002158589068529noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1516883875336582743.post-18399749591466319932010-07-02T00:50:00.000-07:002010-08-02T08:32:46.094-07:00การปกครองสมัยธนบุรี<p align="left"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:14pt;"><b></b></span></span> </p><p align="left"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:14pt;"><b></b></span></span> </p><p align="left"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:14pt;"><b></b></span></span> </p><p align="center"><span style="font-family:Tahoma;font-size:100%;"><b><img style="width: 241px; height: 244px;" src="http://iseehistory.socita.com/images/column_1241511825/Wat_Arun_Old2%281%29.jpg" width="468" height="309" /></b></span></p><p align="left"><span style="font-family:Tahoma;font-size:100%;"><b>ยุคสมัยกรุงธนบุรี</b><br /> ในปี พ.ศ. 2310-2325 เริ่มต้นหลังจากที่พระเจ้าตากสินมหาราชได้ขับไล่อาณาจักรพม่าออกจากอยุธยา และได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบุรี โดยจัดตั้งการเมืองการปกครอง มีลักษณะการเมืองการปกครองยังคงดำรงไว้ซึ่งการเมืองการปกครองภายในสมัยอยุธยาอยู่ก่อน โดยมีพระมหากษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดในการเมืองการปกครอง<br /> <b>การปกครองส่วนกลาง </b><br /> • ฝ่ายทหารมีสมุหกลาโหมดูแล<br /> • ฝ่ายพลเรือน มีสมุหนายกดูแล<br /> นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งจตุสดมภ์ แบ่งการปกครองออกเป็น 4 ส่วน คือ เวียง วัง คลัง นา<br /> <b>การปกครองหัวเมืองชั้นใน </b><br /> • หัวเมืองชั้นใน(เมืองจัตตวา) คือหัวเมืองที่มีขนาดเล็กง่ายต่อการเดินทางไป มีผู้ปกครองเรียกว่า ผู้รั้ง<br /> • หัวเมืองชั้นนอกหรือเมืองพระยามหานคร คือเมืองที่อยู่นอกเขตราชธานี แบ่งออกเป็นเมืองชั้นเอก ชั้นโท ตรี ตามลำดับความสำคัญ มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นเจ้าเมือง โดยได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์<br /> • หัวเมืองประเทศราช คือ มีเจ้านายปกครองกันเอง แต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามเวลาที่กำหนดและต้องส่งกองทัพมาช่วยเมื่อราชธานีเกิดศึกสงคราม ได้แก่ กัมพูชา ลาว เชียงใหม่ และนครศรีธรรมราช</span></p>pukteema(ภัคธีมา)4-8http://www.blogger.com/profile/02787002158589068529noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1516883875336582743.post-86315445120023073182010-07-02T00:40:00.000-07:002010-08-02T08:36:23.799-07:00การปกครองสมัยอยุธยา<p style="" class="MsoNormal" align="center"><span style="color: rgb(0, 255, 255);"><b><span style=";font-family:'Angsana New';font-size:16pt;" lang="TH" ><span style="color: rgb(0, 0, 255);font-family:AngsanaUPC;" ><u></u></span></span></b></span> </p><p style="" class="MsoNormal" align="center"><span style="color: rgb(0, 255, 255);"><b><span style=";font-family:'Angsana New';font-size:16pt;" lang="TH" ><span style="color: rgb(0, 0, 255);font-family:AngsanaUPC;" ><u></u></span></span></b></span> </p><p style="font-family: arial;" class="MsoNormal" align="center"><span style="color: rgb(0, 255, 255);font-size:100%;" ><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><u><span style="color: rgb(0, 255, 255);"><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><u><img src="http://student.nu.ac.th/may/pic_t008.jpeg" width="289" height="229" /></u></span></span></b></span></u></span></span></b></span></p><p style="font-family: arial;" class="MsoNormal" align="center"><span style="color: rgb(0, 255, 255);font-size:100%;" ><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><u><span style="color: rgb(0, 255, 255);"><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"></span></span></b></span></u></span></span></b></span> </p><p style="font-family: arial;" class="MsoNormal" align="center"><span style="color: rgb(0, 255, 255);font-size:100%;" ><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><u><span style="color: rgb(0, 255, 255);"><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"></span></span></b></span>การปกครองสมัยอยุธยาตอนต้น</u></span></span></b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><span> </span>มีลักษณะดังนี้</span></span> </span></p><p style="font-family: arial;" class="MsoNormal"><span style="color: rgb(128, 0, 0);font-size:100%;" ><span lang="TH">การปกครองระยะนี้เริ่มเมื่อ (พ.ศ.1893-1991 )สมัยพระเจ้าอู่ทองถึงสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 แบ่งการปกครองได้ 2 ส่วน</span> </span></p><p style="font-family: arial;" class="MsoNormal"><span style="font-size:100%;"><strong> </strong><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><strong>ส่วนที่ 1) การปกครองส่วนกลาง</strong> </span><strong> </strong><span lang="TH"><span style="color: rgb(128, 0, 0);">การปกครองในเขตราชธานี และบริเวณโดยรอบราชธานีโดยได้จัดรูปแบบการปกครองแบบเขมร จัดหน่วยการปกครองเป็น 4 หน่วย แต่ละหน่วยมีเสนาบดีบริหารงาน ได้แก่<span> </span>กรมเวียง (ดูแลในเขตเมืองหลวง)<span> </span>กรมวัง(ดูแลพระราชสำนักและพิจารณาคดี)<span> </span>กรมคลัง(ดูแลพระราชทรัพย์) กรมนา<span> </span>(จัดเก็บภาษีและจัดหาเสบียงสำหรับกองทัพ) </span></span></span></p><p style="font-family: arial;" class="MsoNormal"><span style="font-size:100%;"><span> </span><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><span style="color: rgb(0, 0, 255);">ส่วนที่ 2) การปกครองส่วนหัวเมือง</span></span></span></b></span><span style=";font-size:100%;" ><span lang="TH"><span> </span> <span style="color: rgb(128, 0, 0);">แบ่งเป็น 4 ระดับ</span></span><span style="color: rgb(128, 0, 0);"><span lang="TH"> </span><span lang="TH">คือ</span></span></span><span style="color: rgb(128, 0, 0);font-size:100%;" > </span></p><p style="font-family: arial;" class="MsoNormal"><span style="font-size:100%;"><b><span lang="TH"><span><span style="color: rgb(0, 0, 255);"> </span></span><span style="color: rgb(0, 0, 255);"> <span style="color: rgb(51, 153, 102);">1. เมืองลูกหลวง</span></span></span></b></span><span style=";font-size:100%;" lang="TH" ><span><span style="color: rgb(0, 0, 255);"> </span></span></span><span style=";font-size:100%;" ><span lang="TH"><span style="color: rgb(128, 0, 0);"><span> </span>หรือเมืองหน้าด่าน<span> </span> ตั้งอยู่รอบราชธานี 4<span> </span>ทิศ เช่น ลพบุรี<span> </span>นครนายก<span> </span>พระประแดง<span> </span> สุพรรณบุรี ให้โอรสหรือพระราชวงศ์ชั้นสูงไปปกครอง</span></span><b><span lang="TH"><br /></span></b></span><span style="font-size:100%;"><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"> <span style="color: rgb(51, 153, 102);">2. หัวเมืองชั้นใน</span></span></span></b></span><span style=";font-size:100%;" lang="TH" ><span><span style="color: rgb(0, 0, 255);"> </span></span></span><span style=";font-size:100%;" ><span lang="TH"><span> </span><span style="color: rgb(128, 0, 0);">อยู่ถัดจากเมืองลูกหลวงออกไป ได้แก่ พรหมบุรี<span> </span>สิงห์บุรี ปราจีนบุรี<span> </span>ฉะเชิงเทรา ชลบุรี<span> </span>ตะนาวศรี<span> </span>ไชยา นครศรีธรรมราช ให้ขุนนางที่กษัตริย์แต่งตั้งไปปกครอง</span></span><b><span lang="TH"><br /></span></b></span><span style="font-size:100%;"><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"> <span style="color: rgb(51, 153, 102);">3.หัวเมืองชั้นนอก</span></span></span></b></span><span style=";font-size:100%;" ><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(51, 153, 102);"> </span></span></b><span lang="TH"> <span style="color: rgb(128, 0, 0);">หรือหัวเมืองพระยามหานครคือหัวเมืองขนาดใหญ่ห่างจากราชธานีผู้ปกครองสืบเชื้อสายมาจากเจ้าเมืองเดิมหรือตัวแทนที่ราชธานีส่งมาปกครอง</span></span><b><span lang="TH"><br /></span></b></span><span style="font-size:100%;"><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"> <span style="color: rgb(51, 153, 102);">4. เมืองประเทศราช</span></span></span></b></span><span style=";font-size:100%;" lang="TH" > <span> </span> <span style="color: rgb(128, 0, 0);">เป็นเมืองที่ยังได้ปกครองตนเองเพราะอยู่ไกลที่สุด มีความเป็นอิสระเหมือนเดิมแต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการตามกำหนดส่งกองทัพมาช่วยเวลาสงคราม เช่นสุโขทัย เขมร เป็นต้น</span><span><span style="color: rgb(128, 0, 0);"> </span></span></span><span style="color: rgb(128, 0, 0);font-size:100%;" > </span></p><p style="font-family: arial;" class="MsoNormal"><span style="font-size:100%;"><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><span style="color: rgb(0, 255, 255);"><u>การปกครองสมัยอยุธยาตอนกลาง</u></span></span></span></b></span><span style=";font-size:100%;" lang="TH" ><span><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><span style="color: rgb(0, 255, 255);"> </span></span></span><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><span style="color: rgb(0, 255, 255);">( 1991-2231)</span> <span style="color: rgb(128, 0, 0);">มีลักษณะดังนี้</span></span></span><span style=";font-size:100%;" ><span lang="TH"><br /><span style="color: rgb(128, 0, 0);"> ช่วงเวลาทางการเมืองสมัยอยุธยาตอนกลางได้มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ ทางการเมือง โดยมีสถาบันกษัตริย์เป็นหลักในการปกครองแบ่งได้ 2 ช่วง </span></span></span></p><p style="font-family: arial;" class="MsoNormal"><span style="font-size:100%;"><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"> <span style="color: rgb(51, 153, 102);">ช่วงที่ 1</span></span></span></b></span><span style=";font-size:100%;" lang="TH" ><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><span style="color: rgb(51, 153, 102);"> </span></span></span><span style=";font-size:100%;" ><span lang="TH"><span> </span><span style="color: rgb(128, 0, 0);">เป็นช่วงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ <span> </span><span> </span>ทรงปรับปรุงการปกครองใหม่เนื่องจากปัจจัยหลายๆอย่างเช่น เศรษฐกิจ ควบคุมหัวเมืองได้ไม่ทั่วถึง<span> </span> และเมืองลูกหลวงหรือเมืองหน้าด่านมีอำนาจมากขึ้น และมักแย่งชิงบัลลังก์อยู่เนืองๆ </span></span><span style="color: rgb(128, 0, 0);"><span lang="TH">ประกอบกับอาณาเขตที่กว้างขวางกว่าเดิม</span><span lang="TH">พระองค์ได้จัดการแยก ทหารและ พลเรือนออกจากกัน</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">และจัดการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ทำให้ราชธานีมีอำนาจมากขึ้น มีการควบคุมเข้มงวดมากขึ้น</span><span> </span><span lang="TH">มีการปฏิรูปการปกครองแยกเป็น 2 ส่วน คือส่วนกลางและหัวเมือง</span></span><span lang="TH"><br /><span style="color: rgb(128, 0, 0);"> สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแยกการปกครองส่วนกลางเป็น<span> </span>2<span> </span>ฝ่าย คือ ทหารและพลเรือน ทหาร มี สมุหกลาโหมดูแล<span> </span>ส่วนพลเรือนมี<span> </span>สมุหนายก<span> </span>ดูแล </span></span><span><br /><span style="color: rgb(128, 0, 0);"> </span></span><span lang="TH"><span style="color: rgb(128, 0, 0);">สมุหนายก มีอัครมหาเสนาบดีตำแหน่ง สมุหนายก ดูแล ข้าราชการฝ่ายพลเรือนทั้งในราช</span></span><span lang="TH"><span><br /><span style="color: rgb(128, 0, 0);"> </span></span><span style="color: rgb(128, 0, 0);">สมุหกลาโหม มีอัครมหาเสนาบดีตำแหน่ง</span></span></span><span style="color: rgb(128, 0, 0);font-size:100%;" > </span></p><p style="font-family: arial;" class="MsoNormal"><span style="color: rgb(128, 0, 0);font-size:100%;" ><span lang="TH">สมุหพระกลาโหมเป็นผู้ดูแลฝ่ายทหาร ทั้งในราชานีและหัวเมือง<span> </span> และยังได้ปรับปรุงจตุสดมภ์ภายใต้การดูแลของ<span> </span>สมุหนายก<span> </span>อัครมหาเสนาบดีผู้ดูแลปรับเปลี่ยนชื่อเป็น ออกญาโกษาธิบดี</span> </span></p><p style="font-family: arial;" class="MsoNormal" align="center"><span style="font-size:100%;"><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><span style="color: rgb(0, 255, 255);"><u>การปฏิรูปส่วนหัวเมือง แยกเป็น 3 ส่วน</u> </span></span></span></b></span></p><p style="font-family: arial;" class="MsoNormal"><span style="font-size:100%;"><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"> <span style="color: rgb(51, 153, 102);">หัวเมืองชั้นใน</span></span></span></b></span><span style=";font-size:100%;" lang="TH" ><span><span style="color: rgb(0, 0, 255);"> </span></span></span><span style=";font-size:100%;" ><span lang="TH"><span> </span><span style="color: rgb(128, 0, 0);">ยกเลิกหัวเมืองลูกหลวง จัดตั้งเป็นเมืองชั้นใน<span> </span>ทรงขุนนางไปครองเรียก<span> </span><b>ผู้รั้ง </b></span></span><b><span lang="TH"><br /></span></b></span><span style="font-size:100%;"><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"> <span style="color: rgb(51, 153, 102);">หัวเมืองชั้นนอก</span></span></span></b></span><span style=";font-size:100%;" ><span style="color: rgb(128, 0, 0);"><span lang="TH"> คือหัวเมืองประเทศราชเดิม ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาเรียกว่า เมืองพระยามหานคร<span> </span>จัดการปกครองใกล้ชิด</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">เช่น พิษณุโลก นครศรีธรรมราช เป็นเมืองชั้นเอก โท และตรี </span></span><b><span lang="TH"><br /></span></b></span><span style="font-size:100%;"><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"> <span style="color: rgb(51, 153, 102);"> เมืองประเทศราช</span></span></span></b></span><span style=";font-size:100%;" ><span lang="TH"><span> </span><span style="color: rgb(128, 0, 0);">คือเมืองชาวต่างชาติที่ยอมอยู่ใต้อำนาจ เช่น ตะนาวศรี ทะวาย เขมร ให้เจ้านายพื้นเมืองเดิมปกครอง ส่งบรรณาการและกองทัพมาช่วยเวลาเกิดสงคราม</span></span><b><span lang="TH"><br /></span></b></span><span style="font-size:100%;"><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"> <span style="color: rgb(51, 153, 102);"> ช่วงที่ 2</span></span></span></b></span><span style=";font-size:100%;" ><b><span lang="TH"> </span></b><span lang="TH"> <span style="color: rgb(128, 0, 0);">ตรงกับสมัยพระเพทราชา<span> </span>ถ่วงดุลอำนาจทางทหารโดยให้สมุหกลาโหม<span> </span>และสมุหนายก ดูแลทั้งทหารและพลเรือน<span> </span>โดยแบ่ง หัวเมืองใต้ ให้สมุหกลาโหมดูแลหัวเมืองทางใต้และพลเรือน ส่วนพลเรือนและทหารฝ่ายเหนือให้<span> </span>สมุหกลาโหมดูแล</span></span></span><span style="color: rgb(128, 0, 0);font-size:100%;" > </span></p><p style="font-family: arial;" class="MsoNormal"><span style="color: rgb(0, 255, 255);font-size:100%;" ><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><u>การปกครองสมัยอยุธยาตอนปลาย</u></span></span><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"> </span></span></b><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><span lang="TH">( ในช่วง 2231-2310)</span><b><span lang="TH"> </span></b></span></span><span style=";font-size:100%;" lang="TH" ><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><span style="color: rgb(0, 255, 255);"><span> </span></span><span style="color: rgb(128, 0, 0);">มีลักษณะดังนี้</span></span></span><span style=";font-size:100%;" ><span lang="TH"><br /><span style="color: rgb(128, 0, 0);"> พอถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ครองราชย์ ทรงปรับเปลี่ยนอำนาจทางทหาร เพื่อถ่วงดุลมากขึ้นโดย ให้พระโกษาธิบดีหรือพระคลัง ดูแลทหารและพลเรือนทางใต้ แทนสมุหกลา-โหม<span> </span> ส่วนสมุหนายก<span> </span>ยังคงเหมือนเดิม </span></span><span style="color: rgb(128, 0, 0);"><span lang="TH"><span> </span></span><span lang="TH">การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองสมัยอยุธยาตั้งแต่ตอนต้นจนถึงตอนปลายนั้น กระทำเพื่อการรวมอำนาจสู่ศูนย์กลางให้มากที่สุด</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH">เพื่อถ่วงอำนาจ ระหว่างเจ้านาย และ ขุนนาง ไม่ให้เป็นภัยต่อพระมหากษัตริย์นั้นเอง </span></span></span></p><p style="font-family: arial;" class="MsoNormal"><span style=";font-size:100%;" ><span lang="TH"> </span></span><span style="color: rgb(128, 0, 0);font-size:100%;" ><span lang="TH">เข้าใจชัดแล้วใช่ไหมว่า ทำไมอยุธยาต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองค่อนข้างบ่อยเหตุผลก็เพื่อความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ที่เป็นหลักในการปกครองนั่นเอง</span> </span></p><p style="font-family: arial;" class="MsoNormal"><span style="font-size:100%;"><span> </span><b><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><u><span style="color: rgb(255, 0, 0);">สรุป</span></u></span></span></b></span><span style=";font-size:100%;" lang="TH" ><span style="color: rgb(0, 0, 255);"><u><span style="color: rgb(255, 0, 0);"> </span></u></span><span style="color: rgb(255, 0, 255);">การปกครองสมัยอยุธยามีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเมืองโดยมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือพยายามรวมอำนาจการปกครองสู่ส่วนกลาง และควบคุมการปกครองหัวเมืองต่างๆให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น พร้อมกับพยายามจัดรูปแบบการปกครอง เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับกลุ่มเจ้านายและขุนนาง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการปกครอง ดังนั้น สมัยอาณาจักรอยุธยาจึงเกิดการแย่งชิงอำนายทางการเมืองระหว่างพระมหากษัตริย์<span> </span>เจ้านาย และขุนนาง<span> </span>ตลอดจนสิ้นอยุธยา</span></span></p>pukteema(ภัคธีมา)4-8http://www.blogger.com/profile/02787002158589068529noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1516883875336582743.post-44032322801116554862010-05-24T06:32:00.000-07:002010-05-24T06:41:59.554-07:00การปกครองสมัยสุโขทัย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrs_R5wba2bsWAD1wkIGb8pjoQy-eu2KXzyeEKOScKXu3cXnuBrTrpyiPxHURGa2k3w6ss-h4viBF_hYSHRkBSHn06PeuadRDWH3GjLSWV5s_2XzXxTFs2m9D0LCKPmHacpHHppljmRrs/s1600/nnn18.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5474831184868425474" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrs_R5wba2bsWAD1wkIGb8pjoQy-eu2KXzyeEKOScKXu3cXnuBrTrpyiPxHURGa2k3w6ss-h4viBF_hYSHRkBSHn06PeuadRDWH3GjLSWV5s_2XzXxTFs2m9D0LCKPmHacpHHppljmRrs/s320/nnn18.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:courier new;font-size:180%;color:#3333ff;"><strong>การปกครองสมัยสุโขทัย</strong></span></div><br /><div><span style="font-family:courier new;font-size:130%;"><span style="color:#33ccff;">อาณาจักรสุโขทัยเมื่อแรกตั้งเป็นอาณาจักรเล็กๆสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดคือสมัยพ่อขุนรามคำแหง มหาราชมีอาณาเขตทิศเหนือจรดเมืองลำพูน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือจรดเทือกเขาดงพญาเย็น และภูเขาพนมดงรักทิศตะวันตกจรดเมืองหงศาวดี ทางใต้จรดแหลมมลายู มีกษัตริย์ปกครองเป็นเอกราชติดต่อกันมา 6 พระองค์อาณาจักรสุโขทัย เสื่อมลงและตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาเมื่อสมัยพญาไสลือไท โดยทำสงครามปราชัยแก่ พระบรมราชาที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยาในปีพ.ศ.1921 และราชวงศ์พระร่วงยังคงปกครองในฐานะประเทศราชติตต่อกันมาอีก 2 พระองค์ จนสิ้นราชวงศ์ พ.ศ.1981</span><br /></span><a href="http://203.144.136.10/service/mod/heritage/nation/history/hist1.htm"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;">การปกครองก่อนสมัยสุโขทัย</span></a><a href="http://www.dopa.go.th/history/politic1.htm"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;">ลักษณะการปกครองของสมัยสุโขทัย</span></a><br /><span style="font-family:courier new;font-size:130%;color:#33ccff;">ลักษณะการปกครองของสมัยสุโขทัย เป็นการปกครองแบบบิดาปกครองบุตรหรือการปกครองคนในครอบครัว (Paternalism) คือพระมหากษัตริย์เป็นเสมือนพ่อหรือข้าราชการบริพารเปรียบเสมือนลูกหรือคนในครอบครัวทำการปกครองลดหลั่นกันไปตามลำดับ ศาสตราจารย์ James N. Mosel ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการปกครองของไทยในสมัยกรุงสุโขทัยไว้ว่ามีลักษณะสำคัญ 2 ประการคือ มีลักษณะเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูกกับการดำเนินการปกครองแบบหัวเมืองขึ้น มีลักษณะคล้ายเจ้าผู้ครองนครกับยังได้ย้ำว่า การปกครองแบบหัวเมือง หรือเจ้าผู้ครองของไทย แตกต่างกับระบบเจ้าผู้ครองนครของยุโรปอย่างไรก็ดี สำหรับการปกครองแบบบิดากับบุตรนี้ในปาฐกถาของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่องลักษณะการปกครองประเทศสยาม แต่โบราณได้อธิบายไว้ว่าวิธีการปกครองในสมัยสุโขทัยนั้น นับถือพระเจ้าแผ่นดินอย่างบิดาของประชาชนทั้งปวงวิธีการปกครองเอาลักษณะการปกครองสกุลมาเป็นคติ เป็นต้น บิดาปกครองครัวเรือนหลายครัวเรือนรวมกันเป็นบ้านอยู่ในปกครองของพ่อบ้าน ผู้อยู่ในปกครอง เรียกว่า ลูกบ้าน หลายบ้านรวมกันเป็นเมืองถ้าเป็นเมืองขึ้นอยู่ในความปกครองของพ่อเมือง ถ้าเป็นประเทศราชเจ้าเมืองเป็นขุนหลายเมืองรวมกันเป็นประเทศที่อยู่ในความปกครองของพ่อขุน ข้าราชการในตำแหน่งต่าง ๆ เรียกว่าลูกขุน วิธีการปกครองของไทยเป็นอย่างบิดาปกครองบุตรยังใช้หลักในการปกครองประเทศไทยมา จนเปลี่ยนแปลงการปกครอง คำว่าปกครองแบบพ่อปกครองลูกนี้มีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อจิตใจของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง พระเจ้าแผ่นดินสมัยสุโขทัยตอนต้น ประชาชนมักใช้คำแทนตัวท่านว่าพ่อขุน จนเมื่ออิทธิพลของขอมเข้ามาแทรกแซงก็ได้เปลี่ยนไปใช้คำว่าพระยาเสียทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับกษัตริย์ ซึ่งเดิมเปรียบเสมือนพ่อกับลูกได้กลายสภาพเป็นข้ากับเจ้าบ่าวกับนายไป<br />การปกครองระบบบิดากับบุตรนี้พระมหากษัตริย์ในฐานะบิดา ทรงมีพระราชอำนาจเด็ดขาดถ้าได้พิจารณาถ่องแท้แล้วก็จะเห็นว่าถ้าผู้ปกครองประเทศคือ พระมหากษัตริย์ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่ราษฎรเสมือนหนึ่งบุตรประชาชนก็ย่อมจะได้รับความผาสุกแต่ถ้าการปกครองดังกล่าวมีลักษณะเป็นข้ากับเจ้าบ่าวกับนายสวัสดิภาพของประชาชนในสมัยนั้นก็น่าจะไม่มีความหมายอะไร อย่างไรก็ดีการที่จะใช้ระบบการปกครองอย่างใดจึงเหมาะสมนั้นนอกจากขึ้นอยู่กับภาวะการณ์ต่างๆในแต่ละสมัยแล้วการเลือกใช้วิธีการปกครองระบบบิดากับบุตรในสมัยนั้นน่าจะถือเอาการปกครองประเทศเป็นนโยบายสำคัญ<br />การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ความสำเร็จบรรลุอุดมการณ์ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงหลายประการ ตราบใดที่ประชาชนในยุคประชาธิปไตยยังรำลึกว่าตนอยู่ในฐานะบุตรที่ผู้ปกครองในฐานะบิดาจะต้องโอบอุ้มตลอดไปบุตรคือประชาชนก็จะขาดความรับผิดชอบละขาดความสำนึกในทางการเมืองที่จะปลูกฝังและเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตยได้เช่นกัน หากผู้ปกครองต้องอยู่ในฐานะบิดาที่คอยโอบอุ้มและกำหนดความต้องการของประชาชนในฐานะบุตรแล้ว ความเป็นประชาธิปไตยที่จะให้บรรลุอุดมการณ์แท้จริงก็เป็นสิ่งที่หวังได้โดยยาก</span></div>pukteema(ภัคธีมา)4-8http://www.blogger.com/profile/02787002158589068529noreply@blogger.com0